ลืมของไว้ ในพระวิหารเชตวัน
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
ลืมของไว้ ในพระวิหารเชตวัน !!!
เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปนมัสการพระวิหารเชตวัน ๒๕๕๔
กับคณะของ ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถัดจากเนื้อความในความคิดเห็นที่ ๑
ในกระดานสนทนา คำกล่าวบูชาพระวิหารเชตวัน ครับ
หลังจากสนทนาธรรมในพระวิหารเชตวันแล้ว
ผมได้ไปบูชาสถานที่สำคัญ ภายในพระวิหารเชตวัน ด้วยโคมประทีป
ตามที่สหายธรรม ได้ฝากไว้ เพื่อให้ผมบูชาแทน
จากนั้น ได้ออกเดินทางไปบ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีต่อ
ระหว่างทางนั่นเอง ได้ระลึกขึ้นว่า ลืมไฟแช็กไว้ในพระวิหารเชตวัน
เป็นไฟแช็กอย่างดี ที่ผมซื้อไว้เพื่อบูชาพระรัตนตรัยโดยเฉพาะ
หลังจากบูชาบ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ด้วยปีติโสมนัสแล้ว
ได้ไปบูชาบ้านบิดาท่านพระองคุลีมาลเถระต่อ
เมื่อจะเดินทางกลับโรงแรม ได้เกิดอกุศลจิต หวนระลึกถึงไฟแช็กที่ลืมไว้
จึงขอลงจากรถ ที่ซุ้มประตูวัดพระเชตวัน เพื่อตามหาไฟแช็ก
จำได้ว่า ลืมทิ้งไว้บริเวณกุฏิท่านพระสารีบุตรเถระ
เมื่อเข้าไปถึง ทราบทันทีว่า เด็กแขกชาวสาวัตถีที่อยู่บริเวณนั้น ต้องเก็บไปแล้ว
เพราะจำได้ว่า เด็กคนนี้อยู่บริเวณนั้น และหยิบโคมประทีปที่ผมบูชาไป
เขาต้องหยิบไปพร้อมกับไฟแช็กแน่ๆ
จึงเข้าไปหาเด็กคนนั้น เพื่อขอซื้อคืน แต่เขาบอกว่า ไม่เห็น
ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าใครหยิบไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หลังจากเดินสำรวจบริเวณอื่นๆ แล้ว มั่นใจว่าไม่พบไฟแช็กแน่ๆ
จึงกลับไปยังกุฏิท่านพระสารีบุตรเถระอีกครั้ง
กราบแล้ว คิดว่า เมื่อไม่ได้คืน ก็ขอน้อมถวายบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระธรรม และพระสงฆ์ ณ กุฏิของท่านพระสารีบุตรนั่นแหละ
แต่ก็ยังเกิดอกุศลจิต คิดเสียดายอย่างยิ่ง
จากนั้น จึงจ้างรถ หน้าวัดพระเชตวัน เพื่อกลับโรงแรม
ด้วยความโทมนัส ขัดเคืองใจ
(ภาพสุดท้ายที่บันทึกไว้ ก่อนจะลืมไฟแช็ก บริเวณกุฏิของท่านพระสารีบุตร)
ถึงโรงแรมแล้ว ได้เวลารับประทานอาหาร
ระหว่างตักอาหารใส่จาน ได้คิดว่า
"เมื่อเราลืมไฟแช็กไว้ ที่พระวิหารเชตวันในยุคนี้ ย่อมหายเป็นธรรมดา
แต่ถ้าเราลืมไว้ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่
ใครจะเป็นคนเก็บไฟแช็กของเรา?!? "
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
----------
เรื่อง...นางวิสาขาลืมเครื่องประดับไว้ที่วิหาร
ก็โดยสมัยนั้นแล นางวิสาขามิคารมารดามีบุตรมาก มีหลานมาก มีบุตรหาโรคมิได้
มีหลานหาโรคมิได้สมมติกันว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง ในกรุงสาวัตถี บรรดาบุตรหลานตั้งพัน
มีจำนวนเท่านั้น แม้คนหนึ่ง ที่ชื่อว่าถึงความตายในระหว่างมิได้มีแล้ว.
ในงานมหรสพที่เป็นมงคล ชาวกรุงสาวัตถีย่อมอัญเชิญนางวิสาขาให้บริโภคก่อน.
ต่อมา ในวันมหรสพวันหนึ่ง เมื่อมหาชนแต่งตัวไปวิหารเพื่อฟังธรรม, แม้นางวิสาขา
บริโภคในที่ที่เขาเชิญแล้ว ก็แต่งเครื่องมหาลดาปสาธน์ ไปวิหารกับด้วยมหาชน ได้
เปลื้องเครื่องอาภรณ์ให้แก่หญิงคนใช้ไว้,
ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวหมายเอาคำนี้ว่า
"ก็โดยสมัยนั้นแล ในกรุงสาวัตถี มีการมหรสพ, มนุษย์ทั้งหลายแต่งตัวแล้วไปวัด.
แม้นางวิสาขามิคารมารดา ก็แต่งตัวไปวิหาร.
ครั้งนั้นแล นางวิสาขามิคารมารดาเปลื้องเครื่องประดับ ผูกให้เป็นห่อที่ผ้าห่มแล้ว
ได้ (ส่ง) ให้หญิงคนใช้ว่า "นี่แน่ะแม่ เจ้าจงรับห่อนี้ไว้."
ได้ยินว่า นางวิสาขานั้น เมื่อกำลังเดินไปวิหาร คิดว่า "การที่เราสวมเครื่องประดับ
มีค่ามากเห็นปานนี้ไว้บนศีรษะ แล้วประดับเครื่องอลังการจนถึงหลังเท้า เข้าไปสู่วิหาร
ไม่ควร" จึงเปลื้องเครื่องประดับนั้นออกห่อไว้ แล้วได้ส่งให้ในมือหญิงคนใช้ ผู้ทรงกำลัง
เท่าช้าง ๕ เชือก ผู้เกิดด้วยบุญของตนเหมือนกัน. หญิงคนใช้นั้นคนเดียว ย่อมอาจเพื่อ
รับเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นั้นได้
เพราะเหตุนั้น นางวิสาขา จึงกล่าวกะหญิงคนใช้นั้นว่า "แม่ จงรับเครื่องประดับนี้ไว้
ฉันจักสวมมันในเวลากลับจากสำนักของพระศาสดา."
ก็นางวิสาขา ครั้นให้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นั้นแล้ว จึงสวมเครื่องประดับชื่อ
ฆนมัฏฐกะ ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา สดับธรรมแล้ว
ในที่สุดการสดับธรรม นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าลุกจากอาสนะหลีกไป
แล้ว. ฝ่ายหญิงคนใช้นั้นของนางลืมเครื่องประดับนั้นแล้ว.
ก็เมื่อบริษัทฟังธรรมหลีกไปแล้ว, ถ้าใครลืมของอะไรไว้ พระอานนทเถระย่อม
เก็บงำของนั้น.
เพราะเหตุดังนี้ ในวันนั้น ท่านเห็นเครื่องมหาลดาปสาธน์แล้ว จึงทูลแด่พระศาสดา
ว่า "นางวิสาขาลืมเครื่องประดับไว้ ไปแล้ว พระเจ้าข้า."
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "จงเก็บไว้ในที่สุดข้างหนึ่งเถิด อานนท์."
พระเถระยกเครื่องประดับนั้น เก็บคล้องไว้ที่ข้างบันได.
นางวิสาขาตรวจบริเวณวัด
ฝ่ายนางวิสาขาเที่ยวเดินไปภายในวิหาร กับนางสุปปิยา ด้วยตั้งใจว่า "จักรู้สิ่งที่ควร
ทำแก่ภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุผู้เตรียมตัวจะไป และภิกษุไข้เป็นต้น."
ก็โดยปกติแล ภิกษุหนุ่มและสามเณร ผู้ต้องการด้วยเนยใส น้ำผึ้งและน้ำมันเป็นต้น
เห็นอุบาสิกาเหล่านั้น ในภายในวิหารแล้ว ย่อมถือภาชนะมีถาดเป็นต้น เดินเข้าไปหา.
ถึงในวันนั้น ก็ทำแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน.
ครั้งนั้น นางสุปปิยาเห็นภิกษุไข้รูปหนึ่ง จึงถามว่า "พระผู้เป็นเจ้าต้องการอะไร?"
เมื่อภิกษุไข้รูปนั้น ตอบว่า "ต้องการรสแห่งเนื้อ" จึงตอบว่า "ได้พระผู้เป็นเจ้า,
ดิฉันจักส่งไป"
ในวันที่ ๒ เมื่อไม่ได้เนื้อที่เป็นกัปปิยะ จึงทำกิจที่ควรทำด้วยเนื้อขาอ่อนของตน
ด้วยความเลื่อมใสในพระศาสดา ก็กลับเป็นผู้มีสรีระตั้งอยู่ตามปกตินั่นแล.
ฝ่ายนางวิสาขาตรวจดูภิกษุหนุ่มและสามเณรผู้เป็นไข้แล้ว ก็ออกโดยประตูอื่น
ยืนอยู่ที่อุปจารวิหารแล้ว พูดว่า "แม่ จงเอาเครื่องประดับมา, ฉันจักแต่ง."
ในขณะนั้น หญิงคนใช้นั้นรู้ว่าตนลืมแล้วออกมา จึงตอบว่า "ดิฉันลืม แม่เจ้า."
นางวิสาขา กล่าวว่า "ถ้ากระนั้น จงไปเอามา, แต่ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอานนทเถระของ
เรายกเก็บเอาไว้ในที่อื่น, เจ้าอย่าเอามา, ฉันบริจาคเครื่องประดับนั้น ถวายพระผู้เป็นเจ้า
นั้นแล."นัยว่า นางวิสาขานั้นย่อมรู้ว่า "พระเถระย่อมเก็บสิ่งของที่พวกมนุษย์ลืมไว้"
เพราะฉะนั้นจึงพูดอย่างนั้น.
นางวิสาขาซื้อที่สร้างวิหารถวายสงฆ์
ฝ่ายพระเถระพอเห็นนางคนใช้นั้น ก็ถามว่า "เจ้ามาเพื่อประสงค์อะไร?"
เมื่อหญิงคนใช้นั่นตอบว่า "ดิฉันลืมเครื่องประดับของแม่เจ้าของดิฉัน จึงได้มา" จึง
กล่าวว่า "ฉันเก็บมันไว้ที่ข้างบันไดนั้น, เจ้าจงเอาไป."
หญิงคนใช้นั้นตอบว่า "พระผู้เป็นเจ้า ห่อภัณฑะที่ท่านเอามือถูกแล้ว แม่เจ้าของ
ดิฉัน สั่งมิให้นำเอาไป" ดังนี้แล้ว ก็มีมือเปล่ากลับไป
ถูกนางวิสาขาถามว่า "อะไร แม่?" จึงบอกเนื้อความนั้น. นางวิสาขากล่าวว่า "แม่
ฉันจักไม่ประดับเครื่องที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันถูกต้องแล้ว, ฉันบริจาคแล้ว, แต่พระผู้เป็น
เจ้ารักษาไว้ เป็นการลำบาก. ฉันจำหน่ายเครื่องประดับนั้นแล้วจักน้อมนำสิ่งที่เป็น
กัปปิยะไป, เจ้าจงไปเอาเครื่องประดับนั้นมา." หญิงคนใช้นั้นไปนำเอามาแล้ว.
นางวิสาขาไม่แต่งเครื่องประดับนั้น สั่งให้เรียกพวกช่างทองมาแล้วให้ตีราคา, เมื่อ
พวกช่างทองเหล่านั้นตอบว่า "มีราคาถึง ๖ โกฏิ, แต่สำหรับค่าบำเหน็จต้องถึงแสน", จึง
วางเครื่องประดับไว้บนยานแล้วกล่าวว่า "ถ้ากระนั้น พวกท่านจงขายเครื่องประดับนั้น."
ไม่มีใครจักอาจให้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นรับไว้ได้, เพราะหญิงผู้สมควรประดับเครื่อง
ประดับนั้นหาได้ยาก.
แท้จริง หญิง ๓ คนเท่านั้น ในปฐพีมณฑล ได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ คือ
นางวิสาขามหาอุบาสิกา ๑, นางมัลลิกา ภรรยาของพันธุลมัลลเสนาบดี ๑, ลูกสาวของ
เศรษฐีกรุงพาราณสี ๑,
เพราะฉะนั้น นางวิสาขา จึงให้ค่าเครื่องประดับนั้นเสียเองทีเดียว แล้วให้ขนทรัพย์
๙ โกฏิ ๑ แสน ขึ้นใส่เกวียน นำไปสู่วิหาร
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า พระอานนท์เถระผู้เป็นเจ้าของ
หม่อมฉันเอามือถูกต้องเครื่องประดับของหม่อมฉันแล้ว, จำเดิมแต่กาลที่ท่านถูกต้องแล้ว
หม่อมฉันไม่อาจประดับได้, แต่หม่อมฉันให้ขายเครื่องประดับนั้น ด้วยคิดว่า‘จักจำหน่าย
น้อมนำเอาสิ่งอันเป็นกัปปิยะมา’ ไม่เห็นผู้อื่นจะสามารถรับไว้ได้ จึงให้รับค่าเครื่องประดับ
นั้นเสียเองมาแล้ว, หม่อมฉันจะน้อมเข้าในปัจจัยไหน ในปัจจัย ๔ พระเจ้าข้า?"
พระศาสดา ตรัสว่า "เธอควรจะทำที่อยู่เพื่อสงฆ์ ใกล้ประตูด้านปราจีนทิศเถิด
วิสาขา."
นางวิสาขาทูลรับว่า "สมควร พระเจ้าข้า" มีใจเบิกบาน จึงเอาทรัพย์ ๙ โกฏิ ซื้อ
เฉพาะที่ดิน. นางเริ่มสร้างวิหารด้วยทรัพย์ ๙ โกฏินอกนี้. (คือ พระวิหารบุพพาราม)
...ฯลฯ...
อ้างอิง : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท บุพพวรรคที่ ๔ เรื่องนางวิสาขา
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
----------
ลืมของไว้ ในพระวิหารเชตวัน !!! (ต่อ)
"เมื่อเราลืมไฟแช็กไว้ ที่พระวิหารเชตวันในยุคนี้ ย่อมหายเป็นธรรมดา
แต่ถ้าเราลืมไว้ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่
ใครจะเป็นคนเก็บไฟแช็กของเรา?!? "
...
คำตอบที่ผมระลึกได้ในขณะนั้นคือ...
"ท่านพระอานนท์เถระ" !!!
...ถ้าใครลืมของอะไรไว้ พระอานนทเถระย่อมเก็บงำของนั้น...
...
"โอ! หากเราลืมไฟแช็กนั้นไว้ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว
(อาจเป็นไปได้ว่า) ท่านพระอานนท์เถระ ย่อมเก็บไฟแช็กนั้น"
เมื่อคิดอย่างนั้น ความเสียดายหายไปโดยสิ้นเชิง
ความปีติโสมนัสอย่างยิ่ง ได้เกิดขึ้นแทน
เพราะระลึกถึงท่านพระเถระที่ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค
ผู้เป็นดุจขุนคลังพระธรรม มีความทรงจำเป็นเลิศ
ได้รับการยกย่องจากพระศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ ถึง ๕ สถาน
ได้เที่ยวไปในวิหารเพื่อเก็บงำของที่บุคคลลืมไว้
แล้วคืนแก่ผู้เป็นเจ้าของ
ขนาดนางวิสาขา อุบาสิกาที่ยิ่งใหญ่ ยังไม่อาจเพื่อจะใช้สอยมหาลดาปสาธน์
ที่ท่านพระอานนท์เถระจับต้องแล้วได้
ได้ถวายทรัพย์เป็นอันมาก ในพระศาสนา
เราเป็นใคร แค่ลืมไฟแช็กเพียงอันเดียว ก็ควรถวายไว้ที่นั่นเหมือนกัน
แม้ในบัดนี้จะไม่มีใครเก็บไว้ให้ก็ตาม
...
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว
ผมได้โบกรถมอเตอร์ไซด์ของชาวสาวัตถี ที่ผ่านมาหน้าโรงแรม
จ้างไปพระวิหารเชตวันอีกครั้ง
ไม่สามารถเข้าไปในพระวิหารเชตวันอีกได้ เพราะไม่มีบัตรเข้า
กราบลงตรงซุ้มประตูพระวิหารเชตวันนั้นเอง
นมัสการรอยพระบาทพระผู้มีพระภาค และรอยเท้าพระมหาสาวกในครั้งอดีต
จุดประทีปดอกไม้บูชาเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนออกเดินทางไปลุมพินี เพื่อบูชาสถานที่ประสูติต่อไป
...
ไฟแช็กใดที่ข้าพเจ้าได้ลืมไว้ ไม่ขอเสียดายอาลัยถึงอีกต่อไป
ขอน้อมถวายบูชาคุณของพระรัตนตรัยอันสูงสุด
ณ พระวิหารเชตวันแห่งนี้
----------
.ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
----------
ผมได้กราบเรียนเล่าเรื่องดังกล่าว ให้ท่านอาจารย์ทราบ
ระหว่างนั่งรถทัวร์จากสารนาถ ไปพุทธคยา
ท่านได้กรุณากล่าวให้เข้าใจถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ไว้อย่างน่าฟังว่า :-
"...ใครจะรู้คะ ว่าจะมีปัจจัยให้..วิตก..เกิดขึ้น ตรึกเป็นไปในเรื่องนี้ได้
ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมมาก่อน ก็ไม่มีปัจจัยที่จะให้คิดได้อย่างนี้เลยค่ะ ! ..."
กราบเท้าอนุโมทนาท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่งครับ
----------
.ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
----------
อนัตตา !!!
เนื่องจากการไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพุทธสถานในครั้งนี้
มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายระหว่างเดินทาง
บางขณะ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดปีติโสมนัส บางขณะ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความขุ่นเคืองใจ
แสดงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมจริงๆ
โดยที่ไม่มีใครทราบเลยว่า ขณะต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น
แต่เมื่อมีปัจจัยพร้อมให้สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็เกิดทันที แล้วก็ดับไป ทุกๆ ขณะ
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว อกุศลย่อมมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น มากกว่ากุศล
เพราะเคยสะสมอกุศลมามากจริงๆ
ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงเป็นไปกับอกุศลที่มากมาย
ส่วนกุศลนั้น นานๆ ครั้งจึงเกิดขึ้น
...
ก่อนจะไปกราบนมัสการ พุทธคยา
สถานที่พระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ท่านอาจารย์ได้กรุณาถามเตือนพวกเราว่า
"เห็นความเป็นอนัตตามั้ยคะ?"
(เห็นครับ)
"แล้วอะไรคะ ที่เป็นอนัตตา?"
(คำตอบของแต่ละท่าน ย่อมแตกต่างกันไป ตามเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่ได้พบ)
แต่ท่านอาจารย์ ได้กรุณาให้คำตอบว่า
"ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ค่ะ ที่เป็นอนัตตา !!!"
...
แสดงให้เห็นถึงกำลังปัญญาที่เล็กน้อย ของพวกเรา ที่ได้สะสมมา
เมื่อเพียงได้ยินคำว่า "อนัตตา" ก็มักจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น "ความคิด" ทั้งหมด
ทั้งๆ ที่ในขณะนี้ กำลังมี "สภาพธรรม" เป็นความจริงแท้ที่เกิดขึ้นจริงๆ
และสภาพธรรมในขณะนี้เอง ที่เป็น "อนัตตา"
เพราะมีปัจจัยเกิดแล้ว เป็น "ธรรม"
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใคร หรือของใครทั้งสิ้น
เกิดขึ้นแล้ว ดับไป ทุกๆ ขณะ จริงๆ
ถ้าท่านอาจารย์ไม่กรุณา แนะนำ พร่ำเตือน บ่อยๆ
ให้น้อมไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ก็ไม่มีทางเลยที่จะรู้จริงๆ ว่า
"ขณะนี้เป็น...ธรรม"
และขณะนี้เองที่เป็น...อนัตตา"
โดยที่ไม่ต้องไปหาขณะอื่น
...
ทั้งหมด ตรง ตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศประเสริฐสูงสุด
ที่ทรงตรัสรู้ และทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรม
ตามความเป็นจริง
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุด แด่พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ
กราบเท้าอนุโมทนาท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนา ในกุศลจิตของกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ
----------
.ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.
สาธุ..นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการได้ศึกษาธรรมมีประโยชน์อย่างไร เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ เราสามารถน้อมนำเอาธรรมมะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ แทนที่จะปล่อยให้เป็นในทางอกุศล กลับทำให้เกิดเป็นกุศลได้ และยังมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยตักเตือนอีก ถึงแม้บ้างครั้งบางคน จะยังไม่สามารถบรรลุนิพพาน ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ แต่ธรรมก็ยังสามารถบรรเทาทุกข์ได้ ขออนุโมทนาแล้วจะนำไปใช้บ้างนะครับ เวลาประสพทุกข์หรือปัญหาให้น้อมระลึกถึงธรรม ที่ได้ศึกษามาแก้ไขหรือบรรทุกข์ให้ตัวเองบ้าง
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ในขณะที่มหากุศลเกิดขึ้น ให้สติระลึกรู้ต่อไปทันทีว่า มหากุศลจิตดวงที่กำลังรู้อยู่นั้นเป็นจิตมหากุศลดวงไหนในมหากุศลจิต 8 ดวง และให้ระลึกต่อไป (จากที่เราได้เรียนมา)
คือเจตสิกที่ประกอบในมหากุศลจิตดวงนั้น มี สัพพจิตสาธารณะเจตสิก 7 ปกิณกเจตสิก
6 (จะครบ 6 ดวงก็ต่อเมื่อ มหากุศลจิตดวงนั้นเป็นโสมนัส) และโสภณสาธารณเจตสิก 19 (ประกอบครบ) เมื่อระลึกได้อย่างนี้แล้ว ก็ต้องรวมปัญญาเจตสิก อีก 1 ดวงเข้าไปด้วยเจตสิกทั้งหลายที่สติระลึกได้อยู่ในขณะนี้เป็น สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ปรุงแต่งจิตมหากุศลดวงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ไฟแช็กที่เป็นรูป (รูปารมณ์) ที่กระทบทางจักขุปสาทเป็นรูปขันธ์ เวทนาที่โสมนัส เป็นเวทนาขันธ์ จำได้ว่าที่สติระลึกได้ เป็นสัญญาขันธ์ มหากุศลจิตที่เกิดขึ้นรู้ เป็นวิญญาณขันธ์ ทั้งหมดนี้เป็น ขันธ์5 เกิดขึ้นมาทำกิจหน้าที่ของมัน ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีตัวตนเลย เพราะมันเป็น ขันธ์5 เท่านั้น จิตของเราจะสงบมากค่ะ เพราะนึกถึงแต่ปรมัตถ์
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)
----------
เรียน คุณ maew ใน ความคิดเห็นที่ 17 ครับ.
ผมเข้าใจว่า เหตุการณ์ "ลืมของไว้ ในพระวิหารเชตวัน!!!" ทั้งหมดนั้น
คือความเกิดขึ้นเป็นไป ของสภาพธรรม ณ กาลครั้งหนึ่ง ตามปัจจัย
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด ล่วงเลยมาแล้ว ดับไปแล้ว
เพราะสภาพธรรมทุกอย่างที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ไม่กลับมาอีก
...
ในเหตุการณ์ดังกล่าว แม้มีปัจจัยให้มหากุศลเกิดบ้าง ตามปัจจัย
แต่ถ้าไม่มีปัจจัยพอให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยจริงๆ ว่า จิตขณะนั้นเป็นอะไร
เพราะ "จิต" เป็น "จิต"
ไม่ใช่ "เรา"
เป็น "ธรรม" อย่างหนึ่ง
และจิตในขณะนั้น กำลังเป็น "กุศล" หรือ "อกุศล" ก็แล้วแต่ปัจจัย
ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลยจริงๆ ครับ
เพราะธรรมที่เกิดขึ้น ต้องเป็นไปตาม "ปัจจัย"
...
ดังนั้น ในเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว ดับไปแล้ว
การจะ "ให้สติเกิดระลึกต่อไปว่า...ฯลฯ..." เมื่อมหากุศลเกิดขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับ
เพราะมหากุศลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นั้น ได้ดับไปแล้ว
สิ่งที่ควรรู้ยิ่งจริงๆ คือ สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้
ไม่ใช่ในเหตุการณ์ที่ล่วงเลยผ่านพ้นมานานแล้วครับ
...
อนึ่ง ถึงแม้ว่ากำลังมุ่งกล่าวถึง มหากุศลที่กำลังเกิดขึ้น
ทั้งในขณะนี้ หรือในขณะใด ก็ตาม
หากขณะนั้นเป็นความเข้าใจ "ธรรม" จริงๆ
จะต้องมี "ลักษณะแท้ๆ " ของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏชัด
ให้ปัญญาเข้าใจจริงๆ ว่าเป็น "ธรรม"
ด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้วอย่างมั่นคง ในขั้นต้น
จนกระทั่งมีปัจจัยพอให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น
โดยไม่เลือก ไม่หวัง ไม่จงใจด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งเป็นโลภะ
...
ด้วยเหตุนี้
การจำแนก มหากุศลจิตที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น
ว่าเป็นมหากุศลประเภทใดใน ๘ ประเภท
และให้ระลึกต่อไปว่า มีเจตสิกอะไรบ้างที่เกิดร่วมด้วย โดยขันธ์อะไร
เป็นเพียงปัญญาขั้นคิดพิจารณาไตร่ตรองเรื่องราวของพระธรรมตามที่ได้ศึกษามา
ไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจถูกต้อง ในลักษณะที่เป็น "ธรรม"
ของมหากุศลจิตในขณะนั้น
เพราะปัญญาที่สามารถเข้าใจลักษณะแท้ๆ
ของเจตสิกทั้งหมดที่เกิดร่วมกับจิตในขณะหนึ่งๆ นั้น
ต้องเป็นปัญญาอีกระดับ ของผู้ที่มีปัญญาสมบูรณ์พร้อม เพราะได้อบรมแล้ว
ท่านจึงจะรู้ได้อย่างนั้นจริงๆ โดยการประจักษ์
ไม่ใช่เพียงระลึกโดยการคิดครับ
...
การศึกษาพระธรรม จึงต้องเป็นผู้ที่ตรง
ที่จะเข้าใจ "ธรรม" ตามลำดับขั้นของปัญญาครับ
...
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุด แด่พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ
กราบเท้าอนุโมทนาท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของ คุณ maew ใน ความคิดเห็นที่ 17 ครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกท่านด้วยครับ
----------
.ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.