จะนั่งสมาธิอีกแล้วครับ
เรียนความเห็นที่ 7 ครับ
เรื่องการดูจิต เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
ส่วนหนังสือใดที่แสดงตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงก็พออ่านได้ครับ และก็ตรวจสอบกับพระธรรม คือ พระไตรปิฎกด้วยครับ
กราบขอบคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้ร่วมเดินทาง และทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผมได้ฟังธรรมทางวิทยุและฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ขอแสดงความเห็น ความเข้าใจอันสูงสุดเท่าที่มีครับ ดังนี้ครับ ...
ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ได้ จากชีวิตประจำวันของตนเอง ขั้นทาน ขั้นศีล หรือขั้นภาวนา ต้องไปพร้อมๆ กันครับ (ตามความเห็นผมครับ) เหมือน ๑. มีเรือ ๒. มีคนพาย และ ๓. มีใบพาย ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปไม่ได้ครับ
การมานั่งปฏิบัติโดยไม่เข้าใจ ก็เหมือนลงจากเรือ หรือทิ้งพายเรือ หรือมีแต่เรือ หรือขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าฟังธรรมเข้าใจก็เสมือนกำลังพายเรืออยู่ อาจหยุดพายถ้าขาดความเพียร หรืออกุศลครอบงำ แต่อย่างไรก็ยังมีครบ ทั้งเรือ คนพายและใบพาย (ทาน ศีล ภาวนาไปพร้อมกันด้วยความเข้าใจ) ถ้าเข้าใจธรรมมั่นคง ชีวิตประจำวันคือการพายเรือไปนั่นเอง (ผมคิดเองนะ) ถึงฝั่งอีกนานไหม ไม่รู้ด้วยนะครับ
ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยครับ
ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาครับ
อวิชชาคือความไม่รู้ ตราบใดที่เรายังไม่เจริญวิชชา คือ ความรู้ คือ ปัญญา ก็ไม่มีทางที่จะละคลายความไม่รู้ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นกิเลสที่เหนียวแน่นค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้ร่วมเดินทาง และทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้ร่วมเดินทาง และทุกๆ ท่านครับ
กราบเรียนอาจารย์สุจินต์และท่านวิทยากรทุกท่าน
กราบขออภัยหากมีสิ่งใดที่ได้ล่วงเกินทุกท่าน นี่เป็นครั้งแรกของดิฉัน (แต่คงไม่ใช่ครั้งแรกของศิษย์อาจารย์สุจินต์) ที่ได้รับทราบว่า
๑. เราเป็นปุถุชนต้องฟังพระธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาหรือเดินไปมาทำกรรมฐาน และต้องรักษาศีล
๒. การสมาทานศีลทำแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็พยายามไม่ละเมิดศีลที่สมาทานไปแล้ว และไม่ต้องไปสมาทานศีลซ้ำ เอาเวลาไปฟังธรรมและสวดมนต์ พระพุทธวจนดีที่สุดค่ะ
๓. ดิฉันขออนุโมทนากับทุกท่านที่เชื่อว่า เราต้องทำสองข้อเบื้องต้นและเลิกเสียเวลาอันมีค่าไปทำเรื่องที่ ๑ อยู่ โดยไม่เข้าใจพระธรรมเลย
๔. ถ้าการศึกษาพระธรรม คือการฟังพระธรรมจริงๆ ไม่ใช่ไปทำอะไรอย่างที่อาจารย์ตอบไว้ เรื่องการไปดูจิตล่ะคะจะเป็นอย่างไร คือถูกต้องไหมคะ เพราะสำนักดูจิตนี่ก็มีคนไปกันมากมาย ขออภัยที่ถาม ถามเพื่อความเข้าใจไม่ได้ประสงค์ให้เกิดการแตกแยก
๕. สมัยหลังพุทธกาลเวลานี้ การฟังพระธรรมแท้ๆ มีแต่ในพระไตรปิฎกใช่ไหมคะ จากหนังสืออื่น พอจะแนะนำได้บ้างไหมคะ
เรียนความเห็นที่ 7 ครับ
เรื่องการดูจิต เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
ส่วนหนังสือใดที่แสดงตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงก็พออ่านได้ครับ และก็ตรวจสอบกับพระธรรม คือ พระไตรปิฎกด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
และขอยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
"โลภะไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่ต้องการ"
ท่านอาจารย์ตอบได้ชอบแล้วครับ คำตอบท่านอาจารย์แปล๊บเข้าไปในใจเลยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาธิครับ ผมว่าต้องรู้ลักษณะกุศลและอกุศลที่กำลังเกิดกับตนเองในปัจจุบัน จากกุศลเล็กๆ น้อยๆ เกิดไม่บ่อย ขั้นนึกคิด และตอนกำลังให้ทาน และเมื่ออกุศลเกิด เริ่มต้นที่ขั้นหยาบๆ มีกำลังแรงหรือเบาแล้วแต่ละคน และเห็นโทษของอกุศล กลัวผลของอกุศล ขณะนั้นตนเองมีความคิดอย่างไร คำพูดเป็นอย่างไร การกระทำเป็นอย่างไร การได้ยินเสียงเป็นอย่างไร การมองเห็นเป็นอย่างไร จิตเป็นอกุศลเป็นแบบนี้แล้วเห็นโทษของอกุศล กลัวผลของอกุศล และสามารถขวนขวายเลือกเฟ้นกุศลธรรมมาข่มอกุศลนั้นๆ ได้ จากเล็กๆ น้อยๆ จนบ่อยขึ้นๆ กุศลธรรมเริ่มหลากหลายมากขึ้นมีกำลังขึ้นทีละน้อยๆ เพราะอกุศลก็หลากหลาย ทั้งหยาบ จนถึงละเอียดยิบ ถ้าฟังธรรมมามาก (เข้าใจ) จะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเรื่องรูป นาม การเจริญสติขั้นต่างๆ แต่จริงๆ แล้วต้องฟังธรรมทุกเรื่องครับ เพราะการฟังธรรมคือการเจริญกุศลอย่างต่อเนื่องอย่างหนึ่ง ฟังด้วยความรู้คุณ รู้เคารพ รู้ตั้งใจฟัง รู้ฟังเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจในส่วนที่ลึกซึ้งหรือยากๆ จะมีโยนิโสมนสิการอย่างไร คือรู้ว่าตนไม่เข้าใจ แต่ยังเคารพ เห็นประโยชน์และจะเพียรฟังไปเรื่อยๆ เพราะเห็นประโยชน์และรู้ลักษณะกุศลที่เกิดตอนฟัง แม้ขั้นนึกคิดก็ยังเป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่องนั้นๆ คือรู้ด้วยสตินะครับ ถ้าฟังธรรมแล้วจิตแวบไปที่อื่นก็รู้ว่าเมื่อกี้หลงไปแล้ว ตอนนี้ต้องเป็นอกุศลจิตแน่นอนใช่ไหมครับ ยกเว้นว่ากุศลจิตที่เกิดจากการฟังธรรมนั้นมีกำลังต่อเนื่องนานๆ จิตแวบไปที่อื่น มีเสียงอื่นปรากฏได้ยินเสียงแต่ไม่สนใจหันไป หรือคิดเรื่องอื่นแต่ไม่สนใจ จิตวกกลับมาฟังธรรมต่อ ไม่หลงรูป (เสียงอื่น) และนาม (ความคิดอื่น) ปรากฏ แล้วก็ฟังต่อไป เข้าใจธรรมทีละนิดๆ ในชีวิตประจำวันเจริญกุศล เจริญสติ ศึกษาลักษณะ รูป นาม ที่กำลังปรากฏ เพราะอกุศลเกิดได้ทุกทาง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ความยึดมั่นเกิดทุกทาง ฟังธรรมเพื่อรู้แล้วละ (ฟังธรรมจำมาเขียนครับ) คลายความยึดมั่น ทีละเล็กทีละน้อย (จำมาเขียนครับ)
จะมีกุศลใดที่เกิดต่อเนื่องนอกจากการฟังธรรมครับ มี แต่ยากนะครับ ในชีวิตประจำวันนั้นกุศลเกิดจริงหรือเปล่า หรือเข้าใจผิดว่าอกุศลเป็นกุศล เพราะฉะนั้น การฟังธรรมสำคัญเป็นอย่างมาก หากไม่รู้ลักษณะของกุศลอกุศลที่เกิดตอนกำลังฟังธรรมในวันนี้ วันหน้าก็คงรู้ได้ครับ (ไม่ควรไปนั่งสมาธินะครับ) ครับ ถ้าหากเจริญกุศลต่อเนื่องนอกจากเวลาฟังธรรมได้ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ และเชิญร่วมสนทนาด้วยครับ ที่สำคัญคือรู้ลักษณะกุศลและอกุศล ไม่เช่นนั้นไม่มีประโยชน์มากนัก ถึงตอนนี้หากกุศลเกิดบ่อยขึ้น เป็นธรรมดาถ้ายังมีกิเลสยังไม่รู้แจ้งย่อมสนใจในสมาธิ อยากมี อยากได้สมาธิ หรืออยากรู้แจ้ง อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง ถ้าไม่อยากละกิเลส สนใจสมาธิอย่างเดียวก็เป็นเรื่องของแต่ละคน วันนี้ไม่อยากละกิเลส วันหน้าก็อาจเบื่อหน่าย กลัวในการเกิดและอยากละกิเลสก็ได้ ถ้าพูดถึงเฉพาะสมาธิในที่นี้ มันก็ยากที่จะกล่าวถึงแต่สมาธิอย่างเดียว โดยไม่พูดถึงเรื่องการศึกษารูปนามเลย เพราะผู้เขียนฟังธรรมมา เห็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของการศึกษารูปนามที่กำลังปรากฏ เพราะเห็นว่าเกื้อกูลต่อการเจริญสติ เจริญกุศลมากๆ ๆ โดยเฉพาะแม้เป็นแค่ขั้นนึกคิดเรื่องรูป นาม โดยไม่ยังเห็นลักษณะจริงๆ จะเจริญกุศลแค่ขั้นนึกคิดเรื่องรูป นาม หรือรูป นามที่กำลังปรากฏอย่างไร (ทั้งขั้นสมถะ และขั้นรู้ลักษณะธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งยากมากๆ) เห็นไหมครับว่าการฟังธรรมมีประโยชน์มากจริงๆ จากนั้น กุศลสมาธิ (ฟังธรรมมาจำได้) ก็จะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องนั่ง แต่ยังไม่ตั้งมั่นนะครับ ความคิดที่จะทำให้เกิดสมาธิ เกิดบ่อยๆ จนชำนาญในระดับหนึ่งนะครับ ส่วนใหญ่เกิดจากการฟังธรรมแล้วรู้ลักษณะของกุศลที่เกิดตอนกำลังฟังธรรมนี่แหละ หลังจากเลิกฟังธรรมแล้วในชีวิตประจำวัน อกุศลเกิดส่วนใหญ่โดยต้องรู้นะและก็สามารถเลือกเฟ้นธรรมมะที่เป็นเหตุให้เกิดความสงบ (เป็นกุศล) โดยความสงบนั้นเกิดได้จากทุกทางจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยมีโยนิโสจากทางทุกทวาร โดยไม่จำเป็นต้องให้อกุศลจิตเกิดก่อน แล้วก็ข่มไว้ แต่สามารถเจริญเลยได้บ่อยๆ ขึ้น แม้เป็นแค่ขั้นนึกคิดก็ตาม ส่วนขั้นอื่นๆ แล้วแต่สติปัญญาของท่านนะครับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปนั่งหรือทำท่าทางใดๆ หากไม่รู้ลักษณะกุศลก็ยากที่สัมมาสมาธิจะเกิดได้
เพราะรู้ลักษณะของกุศลและกุศลนั้นเกิดบ่อยๆ มากขึ้น แล้วมีอุบายเพื่อละความต้องการอยากได้กุศลสมาธิ ซึ่งยากมากๆ เพราะกุศลเดิมๆ อุบายเดิมๆ ที่เคยเกิดเป็นกุศลมาอีกทีพร้อมกับอกุศลคือความอยากได้สมาธิ อยากมีความสงบ เหมือนมีกำแพงกั้นทุกๆ ครั้ง ต้องหาอุบายทำลายกำแพงเป็นด่านๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากำแพงสิ้นสุดที่ไหน อุบายเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกแล้วเพราะมีกิเลสแฝงมาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ และไม่ควรติดยึดมั่นในสมาธิ ครับ (เหมือนอุบายเดิมๆ โดนกิเลสครอบไว้อีกชั้น แต่สามารถทำลายกิเลสนี้ด้วยอุบายใหม่อีกชั้นเช่นกัน แต่หลังจากทำลายหรือข่มไว้ กลายเป็นว่ากิเลสเพิ่มมาเป็น ๒ ชั้นครอบอุบายเดิมๆ ไว้ ต้องเฟ้นหาอุบายใหม่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น มาทำลายหรือข่มไว้เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ไหน มันน่าเบื่อหน่ายไหมครับ เอาเป็นว่าการไม่เกิดนั่นแหละดีที่สุดครับ)
สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียวในชีวิตประจำวันแทบเป็นไปไม่ได้เลยครับ สมัยนี้มีอุปสรรคมากมาย ไม่เหมาะสมต่อความตั้งมั่นในอารมณ์เดียว แต่สัมมาสมาธิที่เกิดจากทุกๆ ทวารทุกๆ อารมณ์ในชีวิตประจำวันมีประโยชน์ เหมาะสมกับทุกๆ สถานการณ์ในปัจจุบันครับ (และทุกๆ กาลเวลา) โดยการฟังธรรมนี่แหละครับที่เกื้อกูลต่อการเจริญกุศลทุกๆ อย่าง รวมทั้งสมาธิที่ถูกต้องด้วย และทำลายกำแพงคือตัณหาคือความอยากได้กุศลไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญา ตามความเพียรของแต่ละคนครับ จนหมดสิ้นตัณหาในอนาคตครับ
ผมต้องขออภัยที่เขียนมา อาจสะเปะสะปะไปบ้าง เรียงคำเรียงประโยคอาจไม่ถูกต้อง หากมีข้อท้วงติงก็ขอเชิญได้เลยครับ อาจมีประโยชน์บ้างนะครับ ที่เขียนมาได้ก็มาจากการฟังธรรมนี่แหละครับ แต่อาจไม่ถูกต้องเป๊ะๆ หากมีสิ่งใดผิดพลาดไปก็ขออภัย กรุณาแนะนำ เพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ถูกต้องด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์และท่านอาจารย์อื่นๆ
ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ ดิฉันรู้สึกเป็นบุญอย่างยิ่งที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้อ่านหนังสือพระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน ได้เข้ามาศึกษาในเว็บไซต์นี้อย่างจริงจัง จากที่เมื่อก่อนรู้จักแต่โดยผิวเผิน เช่นเดียวกับพระอภิธรรม ทำให้ได้รู้ว่า ชีวิตนี้เราควรจะปฏิบัติอย่างไรที่จะไปให้ถึงจุดหมายได้ หลังจากที่คิดว่าปฏิบัติอยู่ ... มานานหลายปี เพราะที่จริงแล้ว ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอแก้ไขบางส่วนที่เขียนลงเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2555 16:25 (ความเห็นที่ 16) ครับ จนถึงตอนนี้วันที่ 02 ส.ค. 2556 ก็ผ่านไปหลายเดือนจนเกือบครบปีแล้ว การเจริญกุศลและความเข้าใจธรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย จากการฟังธรรมมาตลอด ที่เขียนมาในความเห็นที่ 16 นั้น มีบางส่วนไม่ถูกต้อง เพราะความเข้าใจธรรมที่เพิ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ ทำให้รู้ว่าสภาพธรรมที่เคยเกิดเมื่อก่อนบางส่วนยังไม่เข้าใจถูกต้องไม่ตรงนัก อย่างเช่นขั้นสมถะที่แสดงว่าต้องใช้อุบาย ๒ - ๓ ชั้นก็ยังไม่ถูกต้องนัก กุศลอุบายเดิมๆ ก็มี ไม่เช่นนั้นจะเป็นอารมณ์เดียวตั้งมั่นได้อย่างไรใช่ไหมครับ ที่แสดงมาตามที่ปัญญามีในระดับใดแค่นั้นครับ ผิดพลาดไปต้องขอภัยด้วยครับ
ขอเชิญศึกษาธรรมตามพระไตรปิฎก โดยฟัง อ่าน และสนทนาสอบถามกับท่านอาจารย์และผู้มีความรู้โดยตรงจะได้รับประโยชน์สูงสุดครับ
ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น, อาจารย์ผเดิม, ผู้ร่วมสนทนาทุกท่านและขออนุโมทนาครับ