กรรมชรูป
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สำหรับผลของกรรม คือ ผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม ให้ผลคือ ทำให้เกิดรูปที่เรียก
ว่า กัมมชรูป และให้ผลเป็นนามธรรมที่เป็น จิตและเจตสิกที่เรียกว่า วิบาก ดังนั้นผลของ
กรรม ทำให้เกิดทั้งนามธรรมและรูปธรรม ผลของกรรมที่ทำให้เกิดนามธรรมที่เป็น จิต
เจตสิก เรียกว่า วิบาก ดังนั้น วิบาก มุ่งหมายเฉพาะ จิตและเจตสิกเท่านั้นครับ ไม่รวมรูป
ส่วนรูปนั้นเกิดจากรรม ที่เป็นผลของกรรม แต่รูปนั้นไม่ใช่เกิดจากวิบาก แต่เกิดจากผล
ของกรรมที่ทำมา คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมครับ
สรุปคือ เมื่อพูดถึง วิบาก มุ่งหมายถึง จิต เจตสิกเท่านั้น ซึ่ง วิบาก เป็นผลมาจาก กุศล
กรรม หรือ อกุศลกรรมที่ให้ผล ทำให้เกิด วิบากจิตและเจตสิ เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน เป็น
วิบากจิต ส่วนรูปที่เกิดจากรรม เรียกว่า กัมมชรูปครับ มุ่งหมายถึงรูปเท่านั้น ที่เกิดจาก
กุศลกรรม และ อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ให้ผล จึงทำให้ เกิดได้ทั้ง
วิบากที่เป็น จิตและเจตสิก และเกิดกัมมชรูปครับ
รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานนั้นเป็นกัมมชรูป เกิดทุกขณะของจิต คือ เกิดขณะ
อุปาทะของจิต เกิดขณะฐิติของจิต เกิดขณะภังคะของจิตทุกดวง เว้นไม่เกิดก่อน
จุติจิต ๑๗ ขณะ ฉะนั้น รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานจึงดับหมดพร้อมกับจุติจิต
ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาตินั้นทั้ง ๕ ขันธ์ รูปที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยนั้น (กัมมชรูป) เป็นผลของกรรมแต่ไม่ใช่วิบาก เพราะ
รูปไม่ใช่นามธรรม รูปไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ จิต เจตสิก รูปจึงไม่เป็นวิบาก วิบากต้องเป็น
นามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ที่เป็นจิตและเจตสิกเท่านั้นครับ
กัมมชรูป คือ รูปที่เกิดจากกรรม หมายถึง รูป ๑๘ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘
ปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒หทยรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ ซึ่งเกิดจากเจตนา
เจตสิกที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่ดับไปแล้วในอดีต (นานักขณิกกัมมปัจจัย) แต่ยังมี
อำนาจของปัจจัยที่สามารถให้ผลในปัจจุบันได้
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การให้ผลของกรรม ให้ผลทั้งที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม นามธรรมในที่นี้มุ่งหมายถึง จิต และ เจตสิก ที่เป็นชาติวิบาก เช่น จิตขณะแรกในชาตินี้ คือ ปฏิสนธิจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย รวมไปถึง ขณะที่หลับสนิท ก็เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่เป็นนามธรรม ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ได้รับในสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมแล้ว ก็ตรงกันข้าม คือ ได้รับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยไม่มีใครทำให้เลย ส่วน กัมมชรูป เป็น รูปที่เกิดจากกรรม หรือ รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภาวรูป หทยรูป เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มของรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานนั้น จะต้องมีชีวิตรูปเกิดร่วมด้วยเสมอ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงผลของกรรม แล้ว กว้างขวาง มุ่งหมายถึงทั้งนามธรรม และ รูป-ธรรม แต่ถ้ากล่าวว่า วิบาก แล้ว ต้องหมายถึงเฉพาะจิต และ เจตสิก ที่เป็นชาติวิบาก อันเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เท่านั้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมครับ
พอจะทราบโดยการศึกษาว่า วิบากจิต นั้นมีทั้งที่เป็น ผลของกุศลกรรมและผล
ของอกุศลกรรม อย่าทราบว่ากัมมัชรูปนั้นจะเป็นไปโดยนัยเดียวกันหรือไม่ครับ
เช่นจักขุปสาทรูปที่เกิดจาก กุศลกรรม กับจักขุปสาทรูปที่เกิดจากอกุศลกรรม นั้นมีความ
แตกต่างกันหรือไม่ครับ
(จักขุปสาทรูปที่เิกิดจากกรรมดีต้องกระทบแต่รูปารมณ์ที่ดีเกิดจิตเห็นที่เป็นกุศลวิบาก??)
(จักขุปสาทรูปที่เิกิดจากกรรมไม่ดีต้องกระทบแต่รูปารมณ์ที่ไม่ดีเกิดจิตเห็นที่เป็นอกุศล
วิบาก??)
และจิตเห็นฯลฯ ต้องเป็นผลของกรรมหนึ่ง แล้วจักขุปสาทรูปฯลฯ ที่เป็นกัมมชรูปที่เป็นที่
เกิดของจิตนั้นต้องเกิดจากกรรมเดียวกันนั้นหรือไม่ครับ
(เช่นกุศลกรรมหนึ่งเมื่อจะให้ผลทำให้เกิดวิบากที่ดี จะทำให้เกิดจิตเห็นที่เป็นกุศลวิบากจิต
และกรรมเดียวกันนั้นทำให้เกิดจักขุปสาทรูปที่เป็นที่เกิดของจิตเห็นนั้น เป็นอย่างนี้ใช่หรือ
ไม่ครับ)
และขอถามต่อไปอีกสักหน่อยครับว่า วิบากจิตอื่นๆ ที่เกิดในวิถีจิตวาระเดียวกับจักขุวิญญาณ
จิตนั้นๆ (สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ตทาลัมพนะ) จะเป็นกุศลวิบาก/อกุศลวิบาก เช่นเดียวกับ
จักขุวิญญาณจิต นั้นๆ หรือไม่ครับ หรือว่าไม่เกี่ยวกัน
ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
จักขุปสาทรูปที่เกิดจาก กุศลกรรม กับจักขุปสาทรูปที่เกิดจากอกุศลกรรม นั้นมีความ
แตกต่างกันหรือไม่ครับ รูปที่เป็นจักขุปสาทรูป จักขุปสาทรูป ไม่ว่าของใคร ไม่แตกต่างกันโดยนัยของความ
เป็นรูปครับ แต่ แตกต่างกัน ในความประณีตของปสาทรูป เช่น พระโพธิสัตว์ เกิดด้วย
กุศลกรรมที่ประณีตมากสูงสุด รูปที่เกิดจากกรรมมี จักขุปสาทรูปก็ประณีตด้วย ตามกุศล
กรรมที่มีกำลัง คือ เทวดาย่อมมีจักขุปสาทรุปที่ประณีตกว่ามนุษย์ เพราะผลของกุศล
กรรมที่มีกำลังแตกต่างกันครับแม้ผลของกุศลกรรมที่ประณีตและกุศลกรรมที่ไม่ประณีต
ก็นำมาซึ่ง จักขุปสาทรูปที่มีความประณีตแตกต่างกันไปครับ สำหรับ จักขุปสาทรูปที่
เกิดจากผลของอกุศลกรรม ก็มีความประณีตแตกต่างกับจักขุปสาทรูปที่เกิดจากผลของ
กุศลกรรมครับ
(จักขุปสาทรูปที่เิกิดจากกรรมดีต้องกระทบแต่รูปารมณ์ที่ดีเกิดจิตเห็นที่เป็นกุศวิบาก??)
ไม่จำเป็นครับ เช่น มนุษย์เกิดจากกรรมดีให้ผล จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรมที่
ดี แต่บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ไม่ดีได้ครับ
(จักขุปสาทรูปที่เิกิดจากกรรมไม่ดีต้องกระทบแต่รูปารมณ์ที่ไม่ดีเกิดจิตเห็นที่เป็นอกุศล
วิบาก??)
ก็ไม่จำเป็นเช่นกันครับ เช่น สุนัขอาจจะเห็นรูปที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี เมื่อกรรมดีให้ผล
หลังจากเกิดแล้ว ทำให้เห็นสิ่งที่ดีได้ครับ
และจิตเห็นฯลฯ ต้องเป็นผลของกรรมหนึ่ง แล้วจักขุปสาทรูปฯลฯ ที่เป็นกัมมชรูปที่
เป็นที่เกิดของจิตนั้นต้องเกิดจากกรรมเดียวกันนั้นหรือไม่ครับ
ไม่จำเป็นครับ เช่น จักขุปสาทรูป เกิดจากรรมดี แต่เมื่อเห็น เห็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะผล
ของกรรมที่ไม่ดีในอดีตให้ผลครับ จักขุปสาทรูป จึงเป็นเพียงทำหน้าที่กระทบรูปเท่า
นั้นเองครับ ส่วนจะเห็นดี ไม่ดี สำคัญที่กรรมใดจะให้ผลครับ เช่น เกิดเป็นมนุษย์ จักขุ
ปสาทรูปเกิดจากกรรมดี แต่เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ ก็เป็นคนละกรรมกันครับ วิบากจิตอื่นๆ ที่เกิดในวิถีจิตวาระเดียวกับจักขุวิญญาณจิตนั้นๆ (สัมปฏิจฉันนะ สันตี
รณะ ตทาลัมพนะ) จะเป็นกุศลวิบาก/อกุศลวิบาก เช่นเดียวกับจักขุวิญญาณจิต นั้นๆ
หรือไม่ครับ หรือว่าไม่เกี่ยวกัน
ถูกต้องครับ เกี่ยวข้องกัน
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ผเดิมอย่างยิ่งครับ ที่ท่านอาจารย์ช่วยตอบได้ชัดเจน
อย่างยิ่งจนผมและเชื่อว่าอีกหลายท่านที่ได้อ่านได้หมดความสงสัยไปอีกมาก
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และกราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ