ถึงแก่กรรม แม้มีเงินมากเพียงใดจะต่อชีวิตให้ยืนยาวแม้สักขณะจิตเดียวก็ไม่ได้

 
ปัณฑฬะ
วันที่  21 พ.ย. 2554
หมายเลข  20069
อ่าน  1,459

เมื่อกรรมจะให้ผล คือ ถึงแก่กรรม แม้มีเงินมากเพียงใดจะต่อชีวิตให้ยืนยาวแม้สักขณะจิตเดียวก็ไม่ได้ งั้นถ้าสำหรับคนที่รวยมากๆ แล้วหากหมอยื้อชีวิตได้ด้วยการแพทย์ที่ก้าวหน้าได้ อีกหนึ่งวันหรือ หนึ่งนาที คำพูดนี้ก็ ไม่เป็นจริงแล้วสิคับ

แต่คำตอบในใจผม คือ แสดงว่าตอนนั้น ยังไม่ถึงแก่กรรมจริงสิ ใช่ไหมคับ หมอจึงต่อชีวิตได้อีก รบกวนท่านผู้รู้ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วย คับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เลย แม้การสิ้นชีวิต ซึ่งขณะที่สิ้น ชีวิต ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็น จิตและเจตสิกทีเกิดขึ้น ไม่มีสัตว์ บุคคลสิ้นชีวิต ขณะ ที่สิ้นชีวิต เป็น จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น เรียกว่า จุติจิต ครับ

จุติจิต ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งจุติจิต คือ จิตชาติวิบาก ที่เป็นผลของ กรรม เมื่อเป็น จิตและเจตสิกในขณะที่สิ้นชีวิต จึงไม่สามาถบังคับบัญชาได้ หากจุติจิตนั้น จะเกิดครับ คือ จะต้องสิ้นชีวิตในขณะนั้น

ซึ่งจากตัวอย่างที่ผู้ถามได้ยกมา เช่น มีการักษาโดยแพทย์ โดยการใช้เงิน ยื้อชีวิต ตามที่ผมได้กล่าวไว้ครับว่า การสิ้นชีวิต คือ จิตและเจตสิกทีเกิดขึ้น ทำกิจ จุติจิตเกิด แต่ เงิน ทรัพย์สิน การรักษา สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงการสมมติขึ้น จากความคิดนึกของเรา เอง คิดนึกว่าเพราะมีเงิน จึงทำให้ชีวิตยืนยาวได้ เงินไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวิบากจิตที่เป็น จุติจิตเลยครับ เพราะเงินไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต เป็นเพียงการสมมติ ขึ้นของสัตว์โลกครับ หรือ บางเหตุการณ์ที่ บางคนถูกรถชนแล้วไม่ตาย ถูกยิงด้วยอาวุธ ปืนแล้วไม่ตาย ไม่เกิด จุติจิต ก็ย่อมสำคัญผิด ตามสมมติชาวโลกที่คิดว่า เพราะมีสิ่งที่ เป็นมงคล มีพระเครื่องคุ้มครอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อจุติจิตยังไม่เกิด ทำอย่างไรก็ไม่สิ้นชีวิต ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปตามกรรม ว่ากรรมที่จะให้ผลทำให้จุติเกิดเวลาใด เวลานั้นก็เป็นเวลาสิ้นชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับสมมติชาวโลก ที่สำคัญว่า มีเงินมาช่วย หรือ มีแพทย์มายื้อชีวิตครับ

แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องสิ้นชีวิต ก็ไม่มีใคร สิ่งใดที่จะห้ามได้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน พระเครื่อง แพทย์ ตามสมติชาวโลกที่ตั้งขึ้น ก้ไม่สามารถยื้อชีวิตได้เลย เพราะสภาพธรรมเกิดแล้ว คือ จุติจิตต้องเกิดขึ้น เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ดังนั้นหากเรามั่นคงในเรื่องกรรมและ ผลของกรรมและความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ก็จะไม่โทษใครที่ทำให้บุคคลนั้นต้อง ตายสิ้นชีวิต เพราะบุคคลนั้นจะต้องตายแน่นอน ในเวลานั้น จุติจิตต้องเกิดครับ และก็จะ ไม่สำคัญผิด คิดว่ามีสิ่งที่จะมายื้อชีวิตได้ เพราะเมื่อ จุติจิตยังไม่เกิด ก็ไม่มีใครทำให้ตาย ได้ ครับ เพราะฉะนั้น หากจุติจะเกิดแล้ว เทวดา เงิน แพทย์ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ ต่อ ชีวิตไปเพียง สัก ขณะเดียวได้เลยครับ

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 133

ความเพียรเครื่องเผากิเลส ควรทำในวันนี้ ทีเดียว ใครพึงรู้ได้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะว่า ความผัดเพี้ยน ด้วยความตาย ซึ่งมีเสนาใหญ่นั้น ไม่มีเลย

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 216

บทว่า มหาเสเนน ความว่า ก็การณ์แห่ง ความตาย มีหลายอย่างมีไฟ ยาพิษ และศัสตรา เป็นต้น คือ เสนาของมัจจุราชนั้น ความผิดเพี้ยนกล่าวคือ การทำสันถวไมตรีอย่างนี้ว่า ท่านจงรอสอง - สามวันก่อน จนกว่าข้าพเจ้าจะทำกรรมเป็นที่พึงของคนมีการบูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือ กล่าวคือ การให้สินจ้างอย่างนี้ว่า ท่านจงถือเอาหนึ่งร้อย หรือหนึ่งแสนนี้แล้ว รอสอง - สามวัน หรือ กล่าวคือ กองพลอย่างนี้ว่า เราจักต้านทานด้วยกองพลนี้ ดังนี้ กับมัจจุราชเห็นปานนี้ ซึ่งมีเสนาใหญ่ ด้วยอำนาจแห่งเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มี.

[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 45

บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อมไม่กำจัดชราได้ด้วยทรัพย์ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความความตาย ได้เลย ไม่มีใครสามารถเอาชนะความความตายได้ด้วยด้วยทรัพย์ ในที่สุดแล้วย่อมเป็นผู้ถูกความตายครอบงำอย่างแน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งคนฉลาด คนมั่งมี คนยากจน เป็นต้น ล้วนต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ความตายไม่ได้เกรงใจใครเลย ย่อมย่ำยีทั่วไปหมดจริงๆ เมื่อความตายมาถึง ไม่สามารถจะทำการต่อรองหรือผัดเพี้ยนได้เลย แม้จะมีเงินมากมายมหาศาลเพียงใด ก็ไม่สามารถซื้อให้ตนเองไม่ต้องตาย ได้

แม้จะรักษาโรคด้วยวิชาการทางแพทย์สมัยใหม่ ในที่สุดแล้วเมื่อเมื่อถึงคราวที่จุติจิตจะเกิดขึ้น จุติจิตก็ย่อมจะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จุติจิตเป็นจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ชีวิตของทุกคนในแต่ละชาติ สิ้นสุดที่จุติจิต แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อจุติจิตเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิตในชาติใหม่ เกิดสืบต่อทันที ยังต้องเดินทางในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องตาย

แต่ก่อนที่จะตาย ซึ่งก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นวันใด เวลาใด นั้น ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระให้กับชีวิตให้มากที่สุด ประโยชน์หรือสาระที่ว่านั้น ได้แก่ ความเข้าใจสภาพธรรมความเป็นจริง อันเกิดจากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป จนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pamali
วันที่ 22 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aurasa
วันที่ 22 พ.ย. 2554
ขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 24 พ.ย. 2554

แม้อริยทรัพย์ ที่พระอริยเจ้าได้บำเพ็ญไว้ก็ยังต่อรองความตายไม่ได้เลย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 6 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ