ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ๒๒ - ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากพันตรีหญิง ศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ที่บ้านมิ่งโมฬี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา
ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด ที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่ราวยี่สิบกว่าไร่ คุณแม่ของคุณศิริลักษณ์ ได้กรุณาเล่าความหลังให้ฟังว่า เมื่อราวยี่สิบปีมาแล้ว คุณพ่อของคุณศิริลักษณ์ ได้มาขออนุญาตคุณแม่ว่าอยากซื้อที่ดินผืนนี้ แต่คุณแม่ไม่ยินยอม ท่านก็พูดอ้อนวอนอยู่นานและบ่อยๆ ท่านก็เฉยเสีย จนครั้งสุดท้าย ท่านพูดว่า "ซื้อไว้เพื่อให้ท่านอาจารย์ของเธอ มาเดินเล่น" คุณแม่จึงยอม (หัวเราะ) และเมื่อสองสามปีที่แล้ว คุณพ่อก็อยากปลูกบ้านหลังนี้อีก จึงมาขออนุญาต คุณแม่ก็ไม่ยินยอมอีก ในที่สุด ท่านก็ใช้ไม้ตายเดิม เพราะรู้ว่าคุณแม่ท่านเคารพรักท่านอาจารย์มาก คุณพ่อจึงกล่าวว่า สร้างไว้จะได้ให้ท่านอาจารย์ท่านมาพักและสนทนาธรรม ท่านจึงยอมอีก ท่านเล่าไปยิ้มไปด้วยความปลื้มปีติในกุศลเจตนาที่เกิดขึ้นของท่าน เป็นโอกาสให้พวกเราได้มีสถานที่สวยงามอากาศดีเพื่อการสนทนาธรรมตามกาลอีกสถานที่หนึ่งด้วยผลของกุศลเจตนาของท่านโดยแท้
ความติดข้องต้องการในสิ่งต่างๆ ความอยากได้อยากมีอยากเป็น เป็น "ปรกติ" ของปุถุชนเช่นเราๆ หาใช่ความผิดปรกติใดไม่ แต่เพราะความติดข้องนั้นได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใหญ่และมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดในโลก เป็นเหตุให้ท่านและครอบครัวได้มีโอกาสเจริญทานกุศล ด้วยการให้สถานที่ ให้อาหาร และที่สำคัญที่สุด คือการให้ธรรมเป็นทานทั้งหลายทั้งปวงนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความเข้าใจธรรมของท่านที่ได้พากเพียรอดทนฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ มานานหลายสิบปีแล้ว เมื่อเหตุในปัจจุบันเป็นเช่นนี้ ไม่พึงต้องคิดเลยว่าผลจะเป็นเช่นใร
และเช่นเคย กระทู้ของข้าพเจ้าจะขาดสิ่งที่ต้องกล่าวถึงไม่ได้เลยประการหนึ่ง คือ อาหารท่านเจ้าของบ้าน ได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้ท่านผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมครั้งนี้ได้รับประทานอย่างมากมาย จนเหลือเผื่อแผ่ไปยังคนแวดล้อมใกล้เคียง เช่น ช่างก่อสร้างและคนงานที่ทำงานในสวนทุกๆ คนอีกด้วย ข้าพเจ้าเห็นแล้วอดปลื้มใจไม่ได้ครับ ในการให้ที่ไม่ได้เจาะจงแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการให้อย่างแท้จริง อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับ ข้าพเจ้าชอบข้าวต้มที่ใส่เห็ดมากมาย ทำให้รู้สึกว่าทานแล้วมีสุขภาพดี (จึงฉลองศรัทธาท่านไปหลายชาม) ผัดไทยก็อร่อยมากครับ แตงโมที่หวานอร่อยจริงๆ ที่สำคัญ มาสวนผึ้งแล้วไม่ได้ทานสับปะรดสวนผึ้ง เสียทีที่มาแน่นอน เพราะสับปะรดสวนผึ้งทั้งหวาน หอม อมเปรี้ยวนิดๆ กลมกล่อมมากครับ
ความวิจิตรของจิต ทำให้ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า คำว่า สับปะรดนี้น่าจะมาจากคำว่า สรรพรส อาจเพราะความที่มีหลายรส (สรรพรส) ทำให้เป็นผลไม้ยอดนิยมของคนทั่วโลก เมื่อเรียกไปมาจึงเพี้ยนเป็น สับปะรด ซึ่งได้เรียนถามคุณคำปั่น ท่านตอบว่า ก็อาจเป็นได้ น่าคิดว่า แม้ชื่อเรียกสิ่งต่างๆ ยังเพี้ยนไปได้ แต่ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของชีวิตที่ไม่อาจให้ผิดเพี้ยนจากความจริงที่ทรงแสดงไว้โดยไม่ระมัดระวังพิจารณาและตรวจสอบให้รอบคอบให้ถูกต้อง อันจะทำให้เป็นความเห็นผิดซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความเข้าใจพระธรรม ดังท่านจะได้พิจารณาในข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งจะได้นำลงให้ท่านได้พิจารณาถัดไป
อนึ่ง สรรพรส นี้ ขากลับยังได้แวะซื้อกลับมารับประทานที่บ้านด้วย แต่ไม่ได้จ่ายสตางค์เอง เพราะคุณวรรณี เธอชิงจ่ายแทนทุกคนที่ซื้อ แบบซื้อเหมาแจกทั้งคันรถ รวมคนขับด้วยครับ
กุศลเจตนาประการหนึ่ง ที่ศิษย์ของท่านอาจารย์ทุกคน จัดสนทนาธรรมในที่ต่างๆ โดยเลือกสรรสถานที่ๆ มีความสะดวกสบาย สวยงาม อากาศดี เพื่อหวังให้ท่านอาจารย์ได้มีสถานที่เดินออกกำลัง และ ได้พักผ่อน เพื่อสุขภาพที่ดีของท่าน ด้วยเห็นว่าท่านตรากตรำเผยแพร่พระธรรมอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยมาอย่างยาวนานมาก เพื่อให้ทุกคน ได้เข้าใจพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยถูกต้อง ท่านเกิดมาเพื่อให้โดยแท้ถึงเพียงนี้ การได้เห็นท่านแข็งแรงสดใส จึงเป็นความสุขของทุกๆ คนที่ได้เห็นภาพเช่นว่านี้จริงๆ ครับ
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 78
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า บุคคลอื่นจะมีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้ ยิ่งกว่าบุคคล ๓ นี่ไม่มี อนึ่ง เรากล่าวว่า บุคคล (ศิษย์) นี้ จะทำการสนองคุณแก่บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ไม่ได้ง่ายเลย แต่เพียงด้วยการกราบ ลุกรับ ทำอัญชลี สามีจิกรรม และคอยให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยาแก้ไข้.
จบพหุการสูตรที่ ๔
"... ขณะที่เข้าใจความจริงย่อมเบิกบาน เบิกบานด้วยกุศล ด้วยปัญญา ขณะนี้มีธรรม แต่ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรม เห็น มีจริง เป็นธรรม แต่ยึดถือว่าเป็น "เรา" ที่เห็น ที่ได้ยิน หากแต่ว่าเมื่ออบรมปัญญาขั้นการฟังจนเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม แม้ขั้นการฟัง ก็อาจหาญร่าเริงและเบิกบานด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรม และเบิกบานที่จะศึกษาฟังพระธรรมต่อไปเพื่อเข้าใจตัวจริงของธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมจริงๆ และเมื่อปัญญารู้ลักษณะของธรรมจริงๆ ที่ปรากฏในขณะนี้ ย่อมเบิกบาน ปีติ โสมนัส เพราะรู้ความจริง ความจริงไม่หลอกใคร แต่มีจริงขณะนี้ เมื่อรู้ตัวจริงจึงเบิกบาน เพราะเกิดจาก "ปัญญา" นั่นเอง ..."
(คัดจากกระดาน ธรรมทัศนะ)
เนื่องจากการสนทนาธรรมในครั้งนี้มีถึงสามวัน ภาพและข้อความการสนทนาอาจยาวไปบ้าง แต่ด้วยเป็นเจตนาของข้าพเจ้าแต่แรกที่จะทำกระทู้ประเภทนี้ขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการบันทึกกิจกรรมการสนทนาธรรมในแต่ละครั้งไว้โดยย่อแล้ว การอ่านและพิจารณาข้อความโดยละเอียด ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อความเข้าใจขึ้นในธรรม เป็นจุดประสงค์และประโยชน์อันสำคัญยิ่งที่ทุกบุคคลที่เห็นประโยชน์พึงได้รับ ครั้งนี้มีหัวข้อสนทนาที่ไพเราะ ลึกซึ้งหลายหัวข้อ ข้าพเจ้าใคร่ขอยกมาเพียงบางส่วนดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาได้ยินคำไหนแล้ว อย่าพอใจเพียง "ชื่อ" อยากถึงนิพพานไหม? ยังไม่รู้จักนิพพาน แต่อยากถึงนิพพาน เป็นปัญญาหรือความไม่รู้? พระธรรมไม่ได้สอนให้ไม่รู้ แต่ว่าทรงสอนให้มีความเข้าใจถูก แม้เพียงเล็กน้อย สะสมความเข้าใจนั้นถูกต้องยิ่งขึ้น แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย
เมื่อเป็น "ความจริงถึงที่สุด" แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงใช้คำว่า "ปรมัตถธรรม" "แข็ง" อยู่ที่ไหน เปลี่ยนเป็น "เย็น" ได้ไหม? เกิดขึ้นเป็นแข็งก็ต้องเป็นแข็ง ในป่า มีแข็งไหม? เราใช้คำว่า ดินแข็งไหม? ต้นไม้แข็งไหม? โต๊ะเก้าอี้แข็งไหม?
"ลักษณะ" จริงๆ คือแข็ง ไม่ว่ารูปร่างสัณฐานจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะกระทบสัมผัสรูปร่างเมื่อไหร่นั่นเป็นแต่เพียงรูปร่างสิ่งที่ปรากฏให้ "เห็น" ทางตา โดยแข็งไม่ได้ปรากฏทางตา แต่กระทบสัมผัสเมื่อไหร่ "แข็ง" ปรากฏ ... เป็นของใครหรือเปล่า?... เปลี่ยนแข็งได้ไหม? ที่ตัวมีแข็งไหม? แข็งนั้น "เป็นเรา" หรือเปล่า? "เป็นของเรา" หรือเปล่า?
เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าหลงยึดถือธรรมะซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยว่าเป็นเรา และของเรา แต่ความจริง เกิดและดับไปโดยไม่ปรากฏเลย จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย รูปแข็งที่ไม่มีจิตนั้น เป็นของใคร? ก็จะเป็นของใครไม่ได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะเวลานั้น แม้เดี๋ยวนี้ "แข็งนั้น" ก็ไม่ใช่ของใคร
นี่คือ การศึกษา เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจจริงๆ เพื่อละ "ความไม่รู้" และการยึดถือสภาพธรรมะด้วยความเห็นผิดว่า "เป็นเรา" หรือว่า "เป็นของเรา" เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะ (ซึ่งมีจริงๆ ) เพื่อลาภสักการะหรือเปล่า? เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ ไม่ใช่เลยทั้งหมด แต่ เพื่อ "ละ" ความไม่รู้ เพราะว่า กว่าจะตาย ต้องไม่รู้มากกว่านี้อีกเยอะ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจขึ้น
แต่นี่เพียง "ขั้นฟัง" ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ปริยัติ" เพราะว่าการเข้าใจพระธรรมมี ๓ ขั้น คือ ถ้าไม่มีการฟังเลย ไม่สามารถที่จะ "คิดเอง" ได้ แต่เมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง "ปริยัติ" คือ ความรอบรู้ในธรรมะที่ได้ฟัง ไม่ใช่ไปจำคำ จำภาษา จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกเกิดกับจิตนี้เท่าไหร่ แต่ไม่รู้เลยว่า ... เดี๋ยวนี้ ... เป็นธรรมะ อะไร? หลากหลายมาก เป็นแต่ละธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะในอดีตกาล เวลาที่มีผู้ไปเฝ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขาเลย จิตมีกี่ประเภท มีเจตสิกเท่าไหร่ แต่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร? แล้วก็ไม่เที่ยงอย่างไร? เข้าใจผิดยึดถือสภาพนั้นๆ ว่า "เป็นเรา" มานานแสนนานแค่ไหน ก็คือ ศึกษาธรรมะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้ทันที ไม่ต้องไปรอพลิกหนังสือหรือตำราอะไรเลย เพราะว่าช้าไป ในเมื่อสภาพธรรมะขณะนี้ก็กำลังปรากฏอยู่ แล้วบางคน ก็คิดจะไปทำอย่างอื่น เพื่อที่จะเข้าใจธรรมะ เป็นไปได้อย่างไร? เพียงปรากฏ (อยู่ในขณะนี้) ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปทำอย่างอื่น โดยที่สิ่งที่ยึด ก็เกิดแล้วดับแล้ว โดยไม่รู้ แล้วจะมีวันรู้สิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยตามความเป็นจริงได้อย่างไร?
อาจารย์อรรณพ กราบเรียน ขอโอกาสท่านอาจารย์ได้อธิบายนะครับ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง "โลก" ว่า คืออะไร แล้วท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึง "ตระหนี่" "ความตระหนี่" โดยเฉพาะ "ความตระหนี่อย่างยิ่ง" ก็คือ ตระหนี่ที่จะไม่ละความเป็นเรา เป็นตัวตน ก็ระลึกถึงพระพุทธพจน์ที่พระองค์ท่านทรงแสดงไว้ จะกราบเรียนให้ท่านอาจารย์อนุเคราะห์อธิบายครับ ท่านแสดงว่า "โลก ไม่ปรากฏ เพราะความตระหนี่" นี่นะครับ ท่านอาจารย์ เป็นความตระหนี่อย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์ ใครกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ดิฉัน? คะ?
อาจารย์อรรณพ ข้างขวาคือผม ข้างซ้ายก็คือ อาจารย์ธีรพันธ์ ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นคุณอรรณพ?
อาจารย์อรรณพ ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เป็นธรรมะ?
อาจารย์อรรณพ ครับ
ท่านอาจารย์ ตระหนี่ความเป็นคุณอรรณพไหม? ยังเป็นคุณอรรณพอยู่
อาจารย์อรรณพ ขณะนั้น ก็มีความยึดนะครับ
อีกคำถามหนึ่งครับ ท่านอาจารย์ ความยึดว่าเป็นเรา กับความตระหนี่ที่จะไม่ละความเป็นเรา ต่างกันยังไงครับ?
ท่านอาจารย์ ค่ะ พอเป็นเราหรือของเรา ... หวงไหม?... ให้คนอื่นได้ไหม?...
อาจารย์อรรณพ ถ้ายึดว่าเป็นเรา ก็คือด้วยความยึดถือ
ท่านอาจารย์ อะไรที่ให้นี่ เพราะไม่หวง ใช่ไหม? แต่ถ้ายังเป็นของเราที่พอใจ ... ยึดมั่น ... จะให้ไหม?
อาจารย์อรรณพ เพราะฉะนั้น "โลก" ไม่ปรากฏ เพราะความตระหนี่
ท่านอาจารย์ "เป็นเรา"
อาจารย์อรรณพ เพราะความเป็นเรา ที่ยึดเอาไว้
ท่านอาจารย์ ค่ะ
อาจารย์อรรณพ แล้วก็หวง ที่จะละความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ค่ะ ทั้งๆ ที่บอกว่า "ไม่มีเรา" เห็นก็เป็นธรรมะ เกิดแล้วดับ บอกไปเถอะ ก็ยังเป็นเรา
อาจารย์อรรณพ จึงไม่รู้ความจริงแท้ที่สุด
ท่านอาจารย์ "เพราะยังเป็นเรา" ต่อเมื่อไหร่ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ คลายความตระหนี่ ยึดมั่น ที่จะหวงความเป็นเราไว้ให้หมดสิ้นไป
อาจารย์อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ความเป็นเรานี่ ทำไมต้องหวง?
ท่านอาจารย์ เอาคุณอรรณพไปตี (หัวเราะ) ไปฆ่า ไปเผา
อาจารย์อรรณพ ก็คงจะไม่ยอม
ท่านอาจารย์ ค่ะ ตระหนี่ หรือเปล่า? แตะต้องได้ไหม? ใสโซ่ ใส่ตรวน
อาจารย์อรรณพ ไม่พอใจ
ท่านอาจารย์ ค่ะ
อาจารย์อรรณพ เพราะฉะนั้น เป็นความตระหนี่ที่ละเอียดที่แทบจะไม่เห็นครับท่านอาจารย์ครับ "ปรมมัจฉริยะ" แปลเป็นไทย คือ ตระหนี่อย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์ ค่ะ โดยมาก จะคิดถึงของ อย่างเศรษฐี ร่ำรวยมหาศาล แต่ก็ไม่ยอมใช้ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ตระหนี่ที่สุด ใช้คำว่า ปรมะ ได้ "บรมตระหนี่" แต่ ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่าของที่ตระหนี่แสนตระหนี่ ก็ถึงความ "เป็นเรา"
อาจารย์อรรณพ ครับ เพราะฉะนั้น ยากจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมนี้ก็เรียกว่าหมดโอกาสเลยนะครับ แม้ฟังอยู่อย่างนี้ก็ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา ยังมีความหวงที่จะละความยึดถือว่าเป็นเราซ้อนเข้าไปอีก
ท่านอาจารย์ครับ อาจจะถามเลยไปสักนิดหนึ่ง แต่เพื่อที่จะเข้าใจสภาพอกุศลธรรมเหล่านี้ ทั้งความยึดถือก็อย่างหนึ่ง ว่าเป็นเรา และทั้งความตระหนี่ คือความหวงแหนในความเป็นเรา นี้อย่างหนึ่ง อย่างพระโสดาบันท่านดับความตระหนี่ได้ ท่านก็ต้องดับความตระหนี่ที่เป็นเราได้ แต่ท่านก็ยังมีความยึดถือติดข้อง จะต่างอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ใช่ด้วยความเห็นผิด เพราะขณะนี้ ตระหนี่ความเห็นผิดไว้ด้วย ใช่ไหม? ที่เป็นคุณอรรณพนี่ เห็นถูกหรือเห็นผิด?
อาจารย์อรรณพ ถ้ายังเห็นว่า เป็นคนจริงๆ ก็ต้องเห็นผิดครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วบางคน ก็ไม่อยากที่จะฟังธรรมะเลย "กลัว" กลัวหมดกิเลส
อาจารย์อรรณพ หวงความเป็นตัวตนหรือครับ ท่านอาจารย์ครับ?
ท่านอาจารย์ หวงกิเลสด้วย กลัวหมด กลัวหมดกิเลส (หัวเราะ) จะอยู่ได้ยังไงในโลกนี้ ด้วยความไม่ติดข้องเลยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ กลัว ... แม้อย่างนั้น ... ว่าชีวิตเนี่ย มีความสุข เพราะเห็น เพราะได้ยิน เพราะได้กลิ่น เพราะลิ้มรส เพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เรื่องราวต่างๆ ของสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้ติด ถึงแม้มีก็ไม่ติด เขาบอกว่าจะเอาความสุขมาจากไหน? ไม่เห็นความสุขที่ละได้จากการพ้นจากความ "เป็นทาส"
ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเป็นทาสของโลภะ โลภะเป็นนาย ตั้งแต่เช้ามาเลยหรือเปล่าคะ? ตื่นมา ก็ค้นหารูป ใครบ้างไม่ค้นหารูป? แปรงสีฟันอยู่ไหน? หารูปหรือเปล่า? ยาสีฟัน เสื้อกี่ตัว? เกลืออยู่ไหน? น้ำตาลอยู่ไหน? พอถึงเวลาอาหาร อยู่ไหน? ไปหมด ค้นหา "รูป"
อาจารย์อรรณพ เพราะฉะนั้นนะครับ เป็นความลึกซึ้งจริงๆ "โลก" ก็คือ สภาพธรรมะที่ปรากฏ เกิดดับขณะนี้ แม้เป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แต่ไม่ปรากฏความเป็นจริง ไม่เผย "ลักษณะ" ความเป็นจริงนั้นให้เห็นตามความเป็นจริงได้ เพราะว่ามีความหวงแหนในความเป็นเรา เพราะว่า ทันทีที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ยึดแล้ว ว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วก็ "หวง" ในความที่จะคลาย ในความยึดถือสิ่งนั้น เพราะยังพอใจ แล้วก็ยังมีความหวงแหน ซ้ำเข้าไปอีก ... ความตระหนี่ที่ละเอียดยิ่ง ก็คือ ความตระหนี่ความเป็นเรา ...
เพราะฉะนั้น ถ้ายังเป็นความตระหนี่ ตระหนี่ในความเป็นเรา ก็ไม่มีโอกาสที่สภาพธรรมะจะปรากฏเปิดเผยลักษณะให้เห็นได้ ก็ต้องค่อยๆ ฟังพระธรรมไป ซึ่งก็ต้องอาศัยเวลาจริงๆ ที่จะค่อยๆ คล้อยไปบ้างครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ มีใครชอบเป็นทาสบ้างไหม? มี "นาย" ถูก "นาย" ใช้ตั้งแต่เช้า รู้ตัวหรือเปล่า? ว่ามี "นาย" แล้วแต่นายจะต้องการอะไร หาให้หมด ไม่พ้นจากความเป็นทาสของ "โลภะ" ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไรคะ คุณคำปั่น ... "ตัณหาทาโส"... ตัณหา เป็นอีกคำหนึ่งของโลภะ เพราะว่า ความติดข้องมีหลายลักษณะ ก็มีชื่อมากมายหลายอย่าง เวลาที่เพลิดเพลินสนุกสนาน เป็น "ลักษณะ" หนึ่งของโลภะ ใช้คำว่า "นันทิ" หรือ "ราคะ"
เพราะฉะนั้น มีหลายระดับ ก็แสดงลักษณะของสภาพธรรมะที่ติดข้องทั้งนั้น อยากเป็นทาสต่อไปหรือเปล่า? คะ? รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นทาส? มีเจ้านายค่ะ เจ้านายนี่ ไม่ใช่ชาติเดียว ทุกชาติ เป็นเจ้านายมาหมด ทุกวัน ก็ยังเป็นทาสต่อไป แล้วจะพ้นจากความเป็นทาสได้อย่างไร? ถ้าไม่มี "ปัญญา"
เพราะฉะนั้น จะพ้นจากโลภะจริงๆ ซึ่งเป็นสมุทัยสัจจ์ เวลาที่กล่าวถึงอริยสัจจ์ แม้แต่ในตำราเรียนก็กล่าวถึงอริยสัจจ์ ทุกขอริยสัจจ์ สภาพที่เป็นทุกข์เป็นสัจจะ เป็นความจริงของผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งทุกข์นั้น ซึ่งหมายความถึงการเกิดดับ ไม่ใช่ทุกข์ทางกายหรือทุกข์ทางใจเท่านั้น
เพราะเหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วไม่ยั่งยืนเลย ทุกข์กายก็ดับ ทุกข์ใจก็ดับ ถึงไม่ใช่ทุกข์กายทุกข์ใจก็ดับ รวมความว่า สภาพธรรมะทั้งหมดที่เกิดแล้วดับ เป็นทุกข์ ในที่นี้หมายความว่า ไม่น่าติดข้อง เพราะอะไร? ปรากฏนิดเดียว แล้วหายไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ความจำ เหมือนความฝัน เมื่อต้องการสิ่งที่ไม่มี เพราะหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น พระธรรมก็ทำให้สามารถที่จะเข้าใจความจริงละเอียดขึ้น ที่จะรู้ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว กว่าจะพ้นจากความเป็นทาสโดยสิ้นเชิง ก็ต้องเพราะ ปัญญา แม้เพียงในขณะที่ฟังเพื่อที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ว่า ไม่เป็นทาสของความเห็นผิด คำสอนผิดที่ไม่ทำให้เกิด "ปัญญา" ความรู้ถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ
แค่นี้ พ้นยากไหม? ที่จะรู้ว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แล้วก็ไม่เป็นทาสของความพอใจที่จะมีความเห็นผิดนั้นอีก
บางคนไม่ได้เลย รู้ว่าผิด ก็ยังพอใจ เพื่อนฝูงพวกพ้องหมู่คณะครูอาจารย์ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ "ตรง" ต่อธรรมะ แต่ว่า ผู้ที่ตรง ทุกคำที่ได้ยิน สะสมความถูกต้อง ความตรง จึงสามารถที่จะพ้นจากความเป็น "ทาส" คือความไม่ตรงและความเห็นผิด เพราะความติดข้องในความเห็นผิดนั้น เพราะฉะนั้น กว่าจะพ้นความเป็นทาสได้หมดสิ้นจริงๆ ก็ต้องตามลำดับ แม้ในขั้น "การฟัง" พอได้ฟังสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่างกันไหม? มีความปลาบปลื้มไหม? ที่มีโอกาสจะได้เข้าใจถูกในสิ่งที่ถูกต้อง พ้นจากความเห็นผิดที่เคยเข้าใจผิด
นี่พ้นมาได้แค่นี้ ยังไม่ถึงไหน แต่เรียกว่าพ้นแล้ว ค่อยเป็นอิสระ พ้นจากการที่จะเห็นผิด ซึ่งยากมาก เพราะเหตุว่า ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความไม่รู้และความเห็นผิด
เพราะไม่ได้ฟังพระสัทธรรมหรือไม่ได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "คิดเอง" ต้องผิดแน่ มีใคร? ที่คิดอย่างนี้? อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บ้าง? โดยไม่มีการ "ฟัง"
เพราะฉะนั้น จะพ้นจากการเป็นทาสของคำสอนที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็โดยการที่มีความเห็นถูกเกิดขึ้น จะรู้เลย พ้นจากความเป็นทาส ซึ่งตอนที่ยังไม่พ้น ไม่รู้เลยว่ากำลังเป็นทาสอยู่ ต่อพ้นเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่าพ้นมาแค่นี้ ต้องฟังต่อไปอีกจนกว่าจะ "พ้น" จริงๆ
กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าของบ้าน พันตรีหญิง ศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี และคุณพ่อ คุณแม่ ที่ได้ให้โอกาสอันวิเศษ ฟังพระธรรมเพื่อการสะสมปัญญา จากความเข้าใจพระธรรมในสถานที่สวยงามสะดวกสบาย เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เหนือการให้ทั้งปวงในโลก
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ
อนุโมทนาทุกท่านครับ
ได้อ่านและดูภาพที่คุณวันชัยนำมาลงครั้งใดก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ทั้งภาพที่ถ่ายดูแล้วเบิกบานมีชีวิตชีวา ทั้งบทความที่เขียน อ่านแล้วก็มีความสุข เพลิดเพลินไปกับสถานที่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการนำประเด็นธรรมที่สำคัญของการสนทนา ณ สถานที่นั้นๆ มาลง เพื่อเกื้อกูลต่อสหายธรรม เพื่อความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องตรงประเด็นไม่หลงทาง
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนา ในกุศลทุกประการของท่านเจ้าของบ้าน พันตรีหญิง ศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี และ ครอบครัว
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาและกุศลวิริยะของคุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านวิทยากรและสหายธรรมทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี และ คุณพ่อ คุณแม่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ
เป็นข้อความที่คุณวันชัยผู้เขียนบอกว่ายาวมาก ... แต่มีประโยชน์มากค่ะ และ จะเสียดายมากหากไม่ได้อ่าน ...
ขออนุโมทนากุศลเจตนาที่ว่า ... เจตนาของข้าพเจ้าแต่แรก ที่จะทำกระทู้ประเภทนี้ขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการบันทึกกิจกรรมการสนทนาธรรมในแต่ละครั้งไว้โดยย่อแล้ว การอ่านและพิจารณาข้อความโดยละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อความเข้าใจขึ้นในธรรม เป็นจุดประสงค์และประโยชน์อันสำคัญยิ่ง ที่ทุกบุคคลที่เห็นประโยชน์ พึงได้รับ ครั้งนี้มีหัวข้อสนทนาที่ไพเราะ ลึกซึ้ง หลายหัวข้อ ...
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี และ คุณพ่อ คุณแม่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยเช่นกันครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
... หากแต่ว่า เมื่ออบรมปัญญาขั้นการฟังจนเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม
แม้ขั้นการฟัง ก็อาจหาญ ร่าเริงและเบิกบาน ด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรม
และเบิกบานที่จะศึกษา ฟังพระธรรมต่อไปเพื่อเข้าใจตัวจริงของธรรมที่มีในขณะนี้
ว่าเป็นธรรมจริงๆ และเมื่อปัญญารู้ลักษณะของธรรมจริงๆ ที่ปรากฏในขณะนี้
ย่อมเบิกบาน ปีติ โสมนัส เพราะรู้ความจริง ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี และ คุณพ่อ คุณแม่
และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม แม้พี่จะไม่มีเหตุปัจจัยได้ไปที่บ้านมิ่งโมฬี แต่ก็ได้ประโยชน์อันสำคัญยิ่งจากการได้อ่านกระทู้นี้ ซึ่งมีหัวข้อสนทนาที่ไพเราะ ลึกซึ้ง หลายหัวข้อ ... ต้องขอบพระคุณน้องอีกครั้งค่ะ