นิพพานบุรี
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือไม่มีการเกิดขึ้นและดับไป เป็นสุขและเป็นอนัตตา ซึ่งคำว่า นิพพานบุรี บุรีแปลว่าเมือง เมื่อใช้คำว่า นิพพานบุรี จึงหมายถึงเมืองพระนิพพาน ซึ่งหากไม่เป็นผู้ละเอียดในการศึกษาพระธรรม มุ่งเพื่อที่จะทำให้เข้าใจผิด ก็จะนำข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า นิพพานบุรี หรือแปลว่าเมืองพระนิพพาน มีสถานที่ที่มีอยู่จริง เมื่อบุคคลดับกิเลสก็ไปอยู่ในเมืองพระนิพพานอันเป็นสถานที่เสวยความสุข เที่ยง นิรันดร์ เป็นต้น เป็นความเข้าใจผิดจากพยัญชนะที่กล่าวว่า นิพพานบุรีคือเมืองพระนิพพานครับ
ซึ่งพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิกและรูปเลย ดังนั้น เมื่อไม่มีรูป ไม่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสถานที่ได้อย่างไร เพราะสถานที่ดังเช่น สวรรค์ คือการประชุมรวมกันของรูปธรรมทั้งหลาย มี ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ดังนั้น ในเมื่อนิพพานไม่มีการเกิดขึ้นของรูปเลย ก็ไม่มีการประชุมรวมกันของรูปธรรมทั้งหลายให้บัญญัติว่าเป็นสถานที่ครับ เพราะฉะนั้น นิพพานบุรีจึงไม่ใช่สถานที่ที่จะให้เหล่าสัตว์ที่ดับกิเลสแล้วไปเสวยสุข ไปอยู่ครับ
แต่ที่ใช้คำว่านิพพานบุรี เป็นการอุปมาเปรียบเทียบถึงเมืองที่เป็นเมืองโจร (โจรนคร) เมือง คือกิเลส แต่เมื่อดับกิเลส ย่อมเข้าถึงเมือง คือพระนิพพาน ที่ที่ไม่มีกิเลสอีกเลย ไม่มีความทุกข์ใดๆ เพราะไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่มีเมืองให้ไปอยู่ เป็นการกล่าวอุปมาเปรียบเทียบครับ ดังเช่น พระภิกษุณีห้าร้อยที่ติดตามท่านพระมหาปชาบดีโคตมีที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านก็กล่าวว่า จะเข้าสู่นิพพานบุรีเมืองพระนิพพาน ผู้ที่อ่านก็จะต้องเข้าใจตามนัยที่ได้กล่าวมาครับ
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด จึงต้องศึกษาโดยความรอบคอบ และในพระธรรมหมวดอื่นๆ ก็จะไม่ขัดแย้งและสอดคล้องกันทั้งหมดครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรมและรูปธรรม สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรมแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือนามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่ จิตและเจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ พระนิพพานเป็นธรรมที่มีจริง ที่ดับทุกข์ดับกิเลส เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ จึงไม่ใช่เมือง ไม่ใช่สถานที่ใดๆ เลยทั้งสิ้น
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และรูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ถึงแม้ในพระไตรปิฎกจะมีคำว่า บุรี คือนิพพาน และอสังขตสถาน แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถูกว่า ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ที่ตรงกันข้ามกับสังขารธรรม ตรงกันข้ามกับทุกข์ ตรงกันข้ามกับกิเลสอย่างสิ้นเชิง ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...