การละนิวรณ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 20] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 14
การละนิวรณ์
[๑๓] ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรีย์สังวร สติและสัมปชัญญะ อันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็ง.
ละความประทุษร้ายคือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาทได้.
ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ.
ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้.
ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิวรณ์ คือสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรม คือกางกั้นปัญญาไม่ให้เกิด และกางกั้นไม่ให้กุศลธรรมประการต่างๆ เกิดขึ้น ปิดกั้นจิตไว้ด้วยอกุศลธรรม ไม่ให้เกิดกุศลธรรม นิวรณ์ ประกอบด้วย กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาปาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑
การละนิวรณ์ ก็มีหลายระดับครับ คือละเพียงชั่วขณะ ละด้วยการข่มไว้ และละจนหมดสิ้น ไม่เกิดอีก
การละเพียงชั่วขณะ คือขณะที่กุศลเกิด ไม่ว่าระดับใด อกุศลไม่เกิด นิวรณ์ไม่เกิด ในขณะนั้น เป็นการละชั่วขณะนั้นครับ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด รวมทั้งวิปัสสนาญาณเกิด ก็เป็นการละชั่วขณะนั้นครับ การละด้วยการข่มไว้ด้วยการเจริญสมถภาวนา ซึ่งก็ต้องมีปัญญาจึงจะละได้ แต่การเจริญฌาน สมถภาวนา ก็เป็นเพียงการข่มกิเลส มีนิวรณ์ เป็นต้น เพียงในขณะที่เป็นฌาน เมื่อออกจากฌาน กิเลส มี นิวรณ์ก็เกิดขึ้นอีก จึงเป็นเพียงการข่มนิวรณ์ขณะที่เป็นฌานเท่านั้นครับ เปรียบเหมือนหินที่ทับหญ้า หญ้าไม่งอกขึ้นตราบเท่าที่หินทับอยู่ แต่เมื่อใดเอาหินออก หญ้าก็งอกเจริญเติบโตอีกได้ครับ
การละจนหมดสิ้น (สมุจเฉท) คือการละนิวรณ์หรือกิเลสจนหมดสิ้น ไม่ทำให้นิวรณ์หรือกิเลสนั้นมีปัจจัยให้เกิดขึ้นอีก ก็ด้วยปัญญาที่เป็นระดับสูง คือระดับมรรคจิต ซึ่งผู้ที่จะละนิวรณ์จนหมดสิ้นไม่เกิดขึ้นอีกเลย คือพระอรหันต์ครับ แต่ก่อนที่จะถึงการละจนหมดสิ้นก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกเบื้องต้น โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจไปทีละน้อย ก็ย่อมถึงปัญญาระดับสูงดับกิเลสได้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่จิตเป็นอกุศลนั้น เป็นนิวรณ์ เพราะเป็นสภาพธรรมที่กางกั้นไม่ให้จิตเป็นกุศล เพราะขณะใดที่จิตเป็นอกุศล กุศลจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในชีวิตประจำวันสำหรับที่ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยากที่พ้นไปจากการถูกกลุ้มรุมด้วยนิวรณ์ประการต่างๆ แต่ก็ยังพอมีขณะที่สงบระงับนิวรณ์ได้บ้าง ก็ในขณะที่จิตเป็นกุศลนั้นเอง จนกว่าจะดับนิวรณ์แต่ละอย่างแต่ละประการด้วยอริยมรรค ตามลำดับดับขั้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา อันเป็นรากฐานสำคัญจะนำไปสู่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นทั้งหมดนั้นต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วเท่านั้น จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียวครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น, คุณผเดิม และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
นิวรณธรรมนี่ เปรียบเหมือนเชื้อโรคร้ายจริงๆ นะครับ มักแทรกซึมเข้ามาอยู่บ่อยๆ ขณะฟังธรรมบ้าง หรือแม้แต่ขณะอ่าน สนทนาธรรม ถ้าขาดความใส่ใจพิจารณาในพระธรรมที่ฟัง หรืออ่านอยู่ ก็จะโดนครอบงำได้ เกิดบ่อยก็แสดงว่ามีมากนะครับ
กราบอนุโมทนาครับ
บัวควีนสิริกิติ์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของทุกท่านค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี-ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี