ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  19 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20199
อ่าน  2,017

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา

ชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท และ วิทยาลัยการพยาบาล กองทัพบก

ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้ไปสนทนาธรรม เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ

ณ ห้องประชุมชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ

ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

การสนทนาธรรมครั้งนี้ จัดขึ้นท่ามกลางความไม่ปรกติอันเนื่องมาจากสภาวะ น้ำท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่หลายแห่งถูกน้ำท่วม ทำให้การเดินทาง ไปไหนมาไหน เป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่กระนั้นก็ดี การสนทนาธรรมในวันนี้ มีผู้เข้าร่วม ที่มีทั้งผู้เก่าและผู้ใหม่ แม้จะไม่เต็มห้องประชุมอันใหญ่โตสวยงามมากนั้น แต่ก็มีผู้คนหนาตา และ ทยอยเดินทางมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ขณะที่การสนทนาเริ่มไปแล้ว เนื่องจากมูลนิธิฯได้งดการสนทนาธรรม ตั้งแต่คณะของท่านอาจารย์เดินทางไปอินเดีย เมื่อกลางเดือนตุลาคม หลังจากกลับมาแล้ว ก็เกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ เป็นเหตุให้มูลนิธิฯ ประกาศงดการสนทนาธรรมในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ต่อเนื่องมายาวนานจนปัจจุบัน ทำให้สหายธรรมที่ได้พบหน้ากัน ต่างรู้สึกดีใจ ที่ได้มีโอกาสมาร่วมฟังการสนทนาธรรม รวมถึงการพูดคุย สอบถามเรื่องราวเหตุการณ์ ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ แต่สิ่งที่ต่างจากการพูดคุยโดยปรกติทั่วไป คือ ความเข้าใจในเหตุการณ์ของทุกท่าน กับผลของกรรมที่ทุกคนได้รับ ซึ่งก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อมีความเข้าใจ ความเดือดร้อนใจ จากอุทกภัย ย่อมเป็นสิ่งเล็กน้อยกว่า ภัย คือ ความไม่รู้ มากมายนัก

การสนทนาธรรมในวันนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสองชั่วโมงแต่เป็นสองชั่วโมง ที่เต็มไปด้วยคุณค่าของพระธรรม ที่ไม่สามารถหาได้โดยทั่วไป นอกจากการได้ฟัง จากท่านผู้รู้ เป็นสองชั่วโมงที่มีค่ายิ่ง เป็นอริยทรัพย์ที่เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริงแก่บุคคล หาใช่ทรัพย์ที่เสื่อมสลายหายไปได้ดังเช่น ทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วมใหญ่ ที่ได้เห็นกันในครั้งนี้


อริยทรัพย์ ๗

สัทธาธนัง ทรัพย์ คือ ศรัทธา

สีลธนัง ทรัพย์ คือ ศีล

หิริธนัง ทรัพย์ คือ หิริ

โอตตัปปะธนัง ทรัพย์ คือ โอตตัปปะ

สุตธนัง ทรัพย์ คือ สุตะ

จาคธนัง ทรัพย์ คือ จาคะ

ปัญญาธนัง ทรัพย์ คือ ปัญญา

อารัมภกถา

(โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล)

"...การที่เรามีโอกาส ได้ฟังพระธรรมในชาตินี้ ในปัจจุบัน ก่อนที่ พระธรรมจะอันตรธานไป เพราะไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครเข้าใจ ก็ควรที่จะได้เห็นประโยชน์สูงสุด ธัมมะ เป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งและยากที่จะรู้ เพราะเป็นสภาวธรรม เราอาศัยการฟังแล้วค่อยๆ พิจารณา จะทำให้ความเข้าใจ ค่อยๆ เกิดขึ้น เวลาฟังธัมมะ ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ ต้องพิจารณาจนกระทั่งค่อยๆ คล้อยตาม การฟัง เป็นการสะสมความรู้ เพราะยังไม่เคยรู้ เพื่อละความไม่รู้เท่านั้น ขั้นต่อไป ต้องนำมาพิจารณา ในพยัญชนะและอรรถ เรายังไม่มีปัญญาพอ ที่จะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ความรู้ที่จะสนทนากัน เป็นความรู้ใน เรื่องธาตุ เรื่องสภาวะ ของผู้ที่เป็นอริยะ ของผู้ที่รู้แล้ว..."

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

ต่อไป ข้าพเจ้าขออนุญาติ นำข้อความบางตอนจากการสนทนาในวันนั้น มาให้ทุกท่านได้อ่าน และ พิจารณาดังนี้ ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ภาษาบาลีนะคะ ไม่ใช่ภาษาไทย "อนัตตา" หมายความถึง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล มีลักษณะเฉพาะ แต่ละลักษณะ การศึกษาธรรมะเนี่ยค่ะ ถ้า "เข้าใจ" ในภาษาที่เราใช้อยู่ ก็สามารถที่จะทำให้ "เข้าใจจริงๆ " ไม่ติดอยู่ที่ "คำ"

เพราะฉะนั้น วันนี้ คงจะเป็นวันแรกสำหรับหลายๆ ท่าน ที่เริ่มที่จะได้ "เข้าใจ" สิ่งที่มีจริง น่าสนใจไม๊คะ? ไม่ใช่ "สิ่งอื่น" สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เป็นจริง ในขณะนี้

ใครทำให้เกิดขึ้น?

ถ้าเราใช้คำว่า อนัตตา แล้วก็ไปอธิบาย ความหมายของ อนัตตา นะคะ

แต่ว่า เดี๋ยวนี้ค่ะ "กำลังเห็น" ใครทำให้เกิดขึ้น?

อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร? แล้ว "เป็นใคร" หรือเปล่า?

เพราะว่า "เห็น" เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว หมดไปเลย

เพราะฉะนั้น จะเป็นใคร?

เพราะฉะนั้น แทนที่จะใช้ "คำแปล" ของคำว่า "อนัตตา" นะคะ

ก็ให้ "เข้าใจจริงๆ " ในสภาพธรรมะที่มี ตามความเป็นจริง

ว่า เดี๋ยวนี้มี "ได้ยิน" หมดแล้วค่ะ "เป็นเรา" หรือเปล่า? เป็นใครหรือเปล่า?

ถ้าไม่ใช่ ก็คือ อนัตตา โดยใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย นะคะ

แต่ว่า ถ้าจะเป็นภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้เรา เริ่มเข้าใจว่า

เรากำลัง "ฟัง" อะไร? เพื่ออะไร?

มีสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ นะคะ

"ฟัง" เพื่อ "เข้าใจความจริง" ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

เพราะเหตุว่า เราไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

แน่นอนค่ะ ไม่เคยคิดเลย ว่าความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ เป็นอย่างไร?

ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

"สัมมาสัมพุทธะ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ผู้รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีจริง

แล้วก็สอนให้คนอื่น

ได้เข้าใจถูก ได้รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงด้วย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเริ่ม ศึกษา หรือว่า เข้าใจธรรมะ ในภาษาไทย นะคะ

ก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ค่ะ บางคนยังไม่รู้ว่า อะไรมีจริง?

แม้แต่จะบอกว่า ขณะนี้ "เห็น" มีจริงๆ

ในขณะที่เห็น มีอย่างอื่นหรือเปล่า?

"กำลังเห็น" เนี่ยค่ะ มี "ได้ยิน" ไหม? มี "คิดนึก" ไหม? มี "กลิ่น" ไหม?

ไม่มีเลย

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น ซึ่งกำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้ความจริง แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม คือ ความจริง

ให้คนอื่นได้เกิดปัญญา มีความเห็น ที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง

โดยแม้จะใช้คำว่า อนัตตา ก็เป็นการแสดงความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นมา เป็นบุคคลนี้ได้เลย

ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาว่า จะเลือกเกิดเป็นใคร จะเกิดที่ไหน จะเกิดกับมารดา บิดา

ชื่ออะไร มีพี่น้องกี่คน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย

นี่ก็อีกความหมายหนึ่ง ของคำว่า อนัตตา

สิ่งที่มีจริง นะคะ ไม่ใช่ใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

และ สิ่งที่มีจริงเนี่ยค่ะ ทำไมคนอื่น ไม่สามารถจะรู้ได้?

แม้พระโพธิสัตว์ ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมี นะคะ

ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ก็ถึง สี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่ปี ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่วัน

เพื่อที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และ รู้ยาก

เพราะเหตุว่า เพียงปรากฏชั่วคราว แสนสั้น แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย

แต่ก็มี สภาพธรรมะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่ขณะที่เกิด จนกระทั่งถึงขณะนี้

มากมายนับไม่ถ้วน ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลได้

แต่มีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ เนี่ยนะคะ

ต้องอาศัย "การฟัง"

แล้วก็ "เห็นประโยชน์" ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย มีจริงๆ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

เป็นสิ่งที่มีจริง อย่างหนึ่งแน่นอน

"เห็น" ก็มีจริงๆ แล้วก็หมดไปแล้ว แล้วก็ ไม่รู้ความจริง ของทั้ง "เห็น" และ "สิ่งที่ปรากฏ"

เพราะว่า ที่กล่าวว่า มีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เกิด จนตาย ก็จะไม่พ้นจาก

เกิดแล้วก็ต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทั้งวัน

ไม่มีอะไรเลย ที่ต่างหาก พิเศษ ไปจากนี้เลย นะคะ

แต่ก็ ไม่รู้ความจริง

"ไม่รู้" ก็คือ "อวิชชา"

ถ้าถามว่า "อวิชชา" อยู่ที่ไหน? เมื่อไหร่?

ก็คือ ในขณะที่ มีสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ

แล้วก็ไม่เข้าใจความจริง ของสภาพธรรมะนั้น

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ก็จะสอดคล้องกัน ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงตรัสรู้ความจริง ที่มีจริงๆ และ ทรงแสดงความจริง

ว่า สิ่งที่มีจริงนี้ ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

เกิดดับ จนกว่าจะถึงกาลเวลาที่จากโลกนี้ไป (แต่) ก็ยังมีปัจจัย ที่จะทำให้เกิดอีก นะคะ

แล้วก็ เห็นอีก ได้ยินอีก แล้วก็ "ไม่รู้" ต่อไป อีก

เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า ถึงกาละเสื่อม เพราะอะไร?

เมื่อ "ไม่รู้" ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน อะไรจะเจริญ? อะไรจะเสื่อม?

อกุศล ใช่ไม๊คะ?.....ไม่รู้.....

รู้ กับ ไม่รู้ เนี่ย "รู้" ต้อง "ดี" เพราะว่า เข้าใจถูก เห็นถูก

"ไม่รู้" ต้อง "ไม่ดี"

เพราะฉะนั้น ธรรมะฝ่ายกุศลทุกวัน มีมาก

แล้วจะไม่เสื่อมหรือ?

เพราะฉะนั้น อะไรเสื่อม? ก็คือ คุณธรรม ความดี นะคะ

ซึ่งจะต้องเกิดจาก ความรู้ ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ

ถ้าไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความรู้ถูกแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า

ขณะนี้ เป็นกุศล หรือ เป็นกุศล ทั้งๆ ที่สภาพธรรมะเนี่ย เกิดดับ นะคะ

จะพ้นไปจาก ฝ่ายดี หรือ ฝ่ายชั่ว ไม่ได้เลย

แต่เมื่อกำลังสะสมความไม่รู้ มากขึ้นๆ นะคะ ก็ทำให้เสื่อมแน่นอน

คือ เสื่อมจากคุณธรรม ปัญญาก็ไม่เกิด

เพราะฉะนั้น ความดี ทั้งหลายจะมาจากไหน? เมื่อ อกุศล คือ ความไม่รู้ มีมาก

ก็ยิ่งเพิ่มพูนกุศลนั้น มากยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการที่จะ เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง นะคะ

ก็ต้องเป็น ผู้ที่ละเอียด แล้วก็พิจารณา จนกระทั่งเป็นความเห็น ที่ถูกต้อง ของตนเอง

ไม่ใช่เพียงแต่รับฟัง ฟัง ฟังไปเรื่อยๆ แต่ว่า ไม่ได้เข้าใจ "คำ" ที่ได้ยิน

แต่ว่า เมื่อฟังแล้ว ต้องไตร่ตรอง

"ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ "

ต้องไปหาที่ไหนหรือเปล่า? ควรรู้ หรือ ไม่ควรรู้? และ จะรู้ได้อย่างไร?

เมื่อรู้แล้ว มีประโยชน์อะไร?

เห็นไม๊คะ? ความไม่รู้ ก็ทำให้ กุศลเกิด เพิ่มพูนมากขึ้น มีความติดข้อง

มีความขุ่นเคือง มีความมานะ มีความสำคัญตน มีความริษยา

เพราะไม่รู้ความจริง ของสิ่งซึ่ง เพียงเกิด แล้วก็ดับ

แล้วก็ ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อกุศลทั้งหลาย เจริญมากขึ้น มากขึ้น นะคะ

ผลก็คือ ต้องมีผลของกุศลนั้น

เพราะฉะนั้น สัตว์โลก เป็นที่ดูผลของกรรม คือ ผลของกุศลกรรม และ กุศลกรรม

และยังเป็นที่ดูกรรม คือ บาป และ บุญ ด้วย

เพราะเหตุว่า ทุกวันนี้ มีการกระทำ ไม่ได้มีแต่ "จิต"

ยังมีรูปร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้า ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ เป็นไปตามอำนาจของจิต

ถ้าจิตดี นะคะ การกระทำทางกาย กายนั้นก็ มือเท้านั้นก็ เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์

ในการที่สงเคราะห์ ช่วยเหลือคนอื่น ทำสิ่งที่ดีต่างๆ

แต่ถ้าเป็นกุศลจิต นะคะ คิดร้าย เบียดเบียนคนอื่น มือเท้า ก็ประทุษร้ายคนอื่น

นี่ก็คือ ทั้งหมดเนี่ยค่ะ ก็เป็นสิ่งซึ่ง ควรรู้ยิ่ง

เพราะเหตุว่า ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็จะไม่พ้นจากกรรม และ ผลของกรรม

แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด นะคะ ก็จะรู้ได้ ในความเป็นอนัตตา

ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร

แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้ศึกษา หรือว่า เริ่มเข้าใจ "สิ่งที่มีจริง"

ซึ่งคนอื่น จะใช้คำอะไรก็แล้วแต่ จะใช้คำว่า "ธรรมะ" ก็ได้ นะคะ

เพราะเหตุว่า ธรรมะ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรมะ ไม่ใช่ไปรู้ สิ่งที่ไม่มี

แต่ต้องตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมะ โดยเข้าใจ นะคะ ว่าแท้ที่จริง ก็คือว่า แม้แต่เพียงคำ

ที่เราได้ยินว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธรรมะ กับ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

สอดคล้องกัน อย่างไรคะ?

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เพียงทำให้เราเข้าใจความหมาย ของธรรมะ ว่า ธรรมะคืออะไร?

ไม่ใช่ ไม่มี นะคะ มีจริงๆ

และ สิ่งที่มีจริงเนี่ยค่ะ เป็นธรรมะ

เพราะฉะนั้น ธรรมะ ก็คือ สิ่งที่มีจริง นี่คือ ขั้นการฟัง เข้าใจความหมายของธรรมะ

แต่ "ตัวธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง นี้แหละ เป็นธรรมะ

สิ่งที่มีจริง คือ "เห็น" มีจริงเป็นธรรมะ ก็ต้องตรงกับที่ว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

แต่ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ยังไม่ได้กล่าวถึงความจริงใดๆ เลยทั้งสิ้น

แต่เวลาที่มีความเข้าใจแล้ว นะคะ ว่าสิ่งที่มีจริง มีอะไรบ้าง?

"โกรธ" มีจริงไหม? มีจริงๆ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ คือ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร

มีปัจจัยก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับหมดสิ้นไป

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่จะเป็นความเข้าใจของเราเอง

จึงจะเป็น ผู้ที่เป็นทายาท ได้รับมรดก จากคำสอน และ จากการตรัสรู้

จากการบำเพ็ญพระบารมี ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

มิฉะนั้น เราก็จะเป็นผู้ที่ "เผิน" นะคะ

ศึกษาธรรมะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ "มีเห็น..มีได้ยิน" แต่ก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ

ก็ไป "จำชื่อ" แล้วก็ "คิดถึงชื่อ" นะคะ

ไม่ว่าจะใช้ "คำภาษาบาลี" ว่า ธาตุ หรือ ธา-ตุ หรือ อายตนะ หรือ อะไรก็ตามแต่

แต่ก็คือ "เดี๋ยวนี้" ทั้งหมด

ถ้าเข้าใจสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ นะคะ

จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น

เช่น สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ นะคะ

"เห็น" มีจริงๆ "เห็น"....อะไร?...ต้องมีสิ่งที่กำลัง "ถูกเห็น" สองอย่างนี้แน่นอน

แล้วสิ่งที่กำลังถูกเห็น กำลังปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ในขณะที่เห็น

แต่ว่า สองอย่างนี้ต่างกัน นะคะ

สิ่งที่ปรากฏ ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย แม้มีจริง ก็ปรากฏว่ามีจริงไม่ได้

ถ้าไม่มีธาตุ "ที่กำลังรู้" หรือ "เห็น" สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

นี่คือการที่จะเข้าใจ ความไม่เที่ยง ความไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

ที่เคยยึดถือ ว่าเป็นเรา นะคะ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก ทั้งสุข ทั้งทุกข์

ตั้งแต่เกิด จนตาย ถ้าได้เข้าใจแล้ว ก็คือว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้น

โดยที่ว่า ไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือ ความต้องการของบุคคลใดทั้งสิ้น

แต่เกิดได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย เท่านั้นเอง

ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้ ก็เกิดไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไม่ได้

นี่คือการเริ่มต้น ที่จะเข้าใจว่า

สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง

ถ้าไม่รู้ ก็คือ อวิชชา

แล้วก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น บางคนคิดว่า การศึกษามากมาย

เรื่องวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หรือ ชีววิทยา การแพทย์ หรืออะไรก็ตาม ทั้งสิ้น

เป็นสิ่งที่เป็นวิชชา หรือ ความรู้

แต่ไม่ใช่ นะคะ

นั่นเป็นแต่เพียง "การตรึก" นึกคิดเรื่องราว ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ

โดยไม่รู้ "ความจริงในขณะนั้น" เลย

เพราะถ้าไม่มีเห็น จะมีวิชาการต่างๆ ได้ไหม?

เห็นแล้วไม่คิด จะมีเรื่องราวต่างๆ ได้ไหม? ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง ก็คือว่า

ทุกขณะนี้ค่ะ เกิดแล้วดับ แล้วก็สืบต่อ นะคะ แล้วก็ปรุงแต่ง แล้วก็เพิ่มขึ้น

ไม่กลับไปเป็นอย่างเก่าเลย

สักอย่างเดียว

แม้แต่ "ความคิด" แต่ละขณะที่เพิ่มขึ้น นะคะ

ไม่ว่าจะเป็น วิชาการ สาขาใดๆ ก็ตาม ทั้งสิ้น

ก็เพิ่มความคิดขึ้น วิจิตรขึ้น เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

แล้วก็จะไม่กลับไปเป็นอย่างเก่า

.........

"...สัตว์ทั้งหลาย อันกามโยคะผูกไว้แล้ว

ซ้ำภวโยคะและทิฏฐิโยคะผูกเข้าอีก อวิชชารุมรัดเข้าด้วย

ย่อมเวียนเกิดเวียนตายไป.

ส่วนสัตว์เหล่าใดกำหนดรู้กาม และภวโยคะ

ด้วยประการทั้งปวง

ตัดถอนทิฏฐิโยคะ และทำลายอวิชชาเสียได้

สัตว์เหล่านั้นก็เป็นผู้ปลอดโปร่งจากโยคะทั้งปวง

เป็นมุนีผู้ข้ามพ้นเครื่องผูกแล..."

ขออนุโมทนาในกุศลจิต กุศลศรัทธา ความเจริญมั่นคง ในกุศลธรรมทั้งหลาย

ของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท โดยท่านพลตรี นายแพทย์กฤษฎา ดวงอุไร

รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก ประธานชมรม และ คณะฯ

ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ในวันสำคัญๆ มาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ครับ

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นันทภพ
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

เกิดมา แล้ว ไม่เสียชาติเกิด ที่ ได้เห็นได้อ่านได้คิดได้พิจารณา ทำความเข้าใจ กับ การถ่ายทอด นี้ ครับ, ขอ อนุโมทนา ครับ, อยาก ให้ ทุกชีวิต คน ที่ เกิดมา ได้พบ ได้เข้าใจ นี้ ครับ, อยาก ขอ ให้ ท่าน อ.สุจินต์ และ หมู่คณะ กลับ มาเกิดอีก ใน ชีวิตหน้า เพื่อ ทำงาน นี้ ต่อๆ ไป เพื่อ ประโยชน์ ของ คน ใน โลก ครับ.

ขอ สรรพสัตว์ ทั่วจักรวาล เป็นสุขๆ เถิด อย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สวัสดี ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 20 ธ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของคุณวันชัย ภุ่งามด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผิน
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pamali
วันที่ 20 ธ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 20 ธ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาท่าน อ.วิทยากรทุกท่าน

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
dron
วันที่ 20 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kinder
วันที่ 21 ธ.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Sam
วันที่ 21 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pattarat
วันที่ 21 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
หลานตาจอน
วันที่ 23 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
raynu.p
วันที่ 23 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ms.pimpaka
วันที่ 2 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ