ข้ออุปมาของการละกิเลส [สัมพหุลภิกขุสูตร]
เพียงขั้นฟัง หวังจะมีกุศลมากขึ้น อกุศลน้อยลง แต่ไม่เห็นอกุศลตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่รู้ความต่างของปัญญาขั้นฟัง และขณะที่ปัญญารู้เฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดดับเร็วมาก ก็ไม่ใช่เรื่องหวังหรือคาดคะเนว่าจะรู้แจ้งสภาพธรรมในชาติใด เพราะยังไม่เกิด และไม่สามารถรู้ได้ในขณะต่อไป
คำอุปมาเรื่องการละคลายกิเลส จากนาวาสูตร เรือใหญ่เกยบก ซึ่งผุพังลงด้วยแดด ลม อากาศ ค่อยๆ เสื่อมสลายไปฉันใด ปัญญาจากการฟังที่ค่อยๆ สะสมความเห็นว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เห็นก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละประเภท จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรม
อ่านข้อความเตือนสติทั้งหมดจากสัมพหุลภิกขุสูตร ..
ข้อความเตือนสติ เรื่องสัมพหุลภิกขุสูตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับขั้น เพียงขั้นการฟัง ยังไม่สามารถละกิเลสได้ แต่ปัญญาขั้นการฟัง เป็นพื้นฐานให้นำไปสู่ปัญญาขั้นสูงๆ ต่อไป จนถึงการดับกิเลสได้ครับ ซึ่งอุปมาใน นาวาสูตร ก็แสดงไว้ ๒ อุปมา ถึงเรื่องการละคลายกิเลส เช่น อุปมาว่าด้วยการจับด้ามมีด ช่างไม้ที่จับด้ามมีดในแต่ละวัน เมื่อจับไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ สึก แต่ขณะที่จับวันนี้ก็ไม่รู้ว่าสึกไปเท่าไหร่ จนในที่สุด ก็ปรากฎรอยนิ้วมือชัดเจน เมื่อจับบ่อยๆ ฉันใด การละคลายกิเลส อาศัยการอบรมปัญญาทีละน้อย ขณะที่เข้าใจนิดนึงในขณะนี้ ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลส แต่ก็ไม่รู้เลยว่าละกิเลสไปเท่าไหร่ แต่ก็ค่อยๆ ละแล้ว จนในที่สุด ปัญญาถึงพร้อมก็สามารถละกิเลสได้หมดสิ้นครับ
อุปมาว่าด้วยเรือ เรือที่ตากแดด ตากลม เชือกที่ผูกไว้กับฝั่ง ก็ย่อมค่อยๆ เปื่อยเน่าผุพังไป ฉันใด ผู้ที่อบรมปัญญา บ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมทำให้ละกิเลสได้ในที่สุดครับ
ขออนุโมทนาคุณ mooktas และทีมงานทุกๆ ท่านครับ