จิตพระโพธิสัตว์คือจิตเช่นใด มีคุณสมบัติอย่างไร
เรียน ท่านวิทยากร
ฟังมาว่า พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะนั้นจุติจากเทพบนชั้นดุสิตด้วยการรับเชิญ จากเทพพรหมเทวา และทรงปฏิสนธิด้วยจิตพระโพธิสัตว์ จึงใคร่ขอทราบรายละเอียดว่า
๑. ที่ทราบมานี้ถูกผิดอย่างไร และ
๒. จิตพระโพธิสัตว์เป็นจิตประเภทใด มีคุณสมบัติอย่างไร ต้องบำเพ็ญเพียรมาอย่างไร
๓. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องปฏิสนธิด้วยจิตพระโพธิสัตว์หรือไม่อย่างไร
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกชีวิตก็คือ จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม แม้พระโพธิสัตว์ ก็คือ การเกิดขึ้น ประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูปเช่นกัน ซึ่งคำว่า พระโพธิสัตว์ หมายถึง สัตว์ แปลว่า ผู้ข้อง โพธิ คือ การตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ ความหมาย คือ ผู้ที่ข้องอยู่ เพื่อการตรัสรู้ หรือพูดง่ายๆ คือผู้ที่จะตรัสรู้ในอนาคตครับ ซึ่งการจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมี คือกุศลธรรมประการต่างๆ และปัญญาด้วย ดังนั้น ในแต่ละชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องมีการกระทำกุศลมากมายที่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งคำว่า กุศล ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็น จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไป ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นจิต พระพุทธองค์แสดงครับว่าเป็นสภาพธรรมที่สะสม คือสะสมทั้งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ดังนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีคือกุศลธรรมประการต่างๆ จิตของพระโพธิสัตว์จึงสะสมสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลธรรมมากมายเพื่อเป็นไปในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่กล่าวมาเพื่อจะตอบคำถามที่ว่า จิตพระโพธิสัตว์เป็นจิตประเภทใด มีคุณสมบัติอย่างไร ต้องบำเพ็ญเพียรมาอย่างไร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องปฏิสนธิด้วยจิตพระโพธิสัตว์หรือไม่ อย่างไร
- จิตของพระโพธิสัตว์ก็ต้องเป็นจิตที่ประกอบหรือสะสมคุณความดีไว้แล้วมากมาย จะกล่าวว่าเป็นจิตพิเศษก็ได้ โดยนัย สะสมบารมีมาเต็ม คุณความดีมาพร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่เมื่อกล่าวโดยความเป็นสภาพธรรมที่เป็นจิตแล้วไม่ต่างกัน คือเป็นสภาพรู้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทไหนและของใครครับ และปฏิสนธิจิตของพระโพธิสัตว์เมื่อเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ต้องเป็นจิตที่ปฏิสนธิด้วยมหากุศลวิบากญาณสัมปยุต (ประกอบด้วยปัญญา) เป็นโสมนัสเวทนาและเป็นอสังขาริก คือมีกำลังนั่นเองครับ ดังนั้น พระโพธิสัตว์ท่านก็ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือบารมี ๑๐ มีบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี รวมเป็น ๓๐ ประการทุกๆ พระองค์ แต่เราจะต้องเข้าใจว่า ไม่มีจิตพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะต่างหาก แต่ก็เป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญาและสะสมคุณความดีมามากกว่าผู้อื่นนั่นเองครับ ในขณะที่ปฏิสนธิ ก็ต้องเป็นจิตที่ปฏิสนธิด้วย ๓ เหตุ คือ อโลภะ อโทสะและอโมหะประกอบด้วยปัญญา เป็นมหากุศลญาณสัมปยุต เป็นโสมนัสเวทนาและมีกำลัง ครับ
พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องปฏิสนธิด้วยติเหตุ และเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุต เป็นโสมนัสเวทนาและมีกำลังครับ ทุกพระองค์ครับ และเมื่อปฏิสนธิจิตของพระโพธิสัตว์ดับไปในชาติสุดท้าย ก็มีจิตอื่นที่สะสมคุณความดีไว้ที่เป็นบารมีมาแล้วจนบริบูรณ์ครับ ทุกๆ พระองค์เป็นอย่างนี้ครับ
และจากคำถามที่ว่า พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะนั้นจุติจากเทพบนชั้นดุสิตด้วยการรับเชิญจากเทพพรหมเทวา และฟังมาว่าทรงปฏิสนธิด้วยจิตพระโพธิสัตว์ จึงใคร่ขอทราบรายละเอียดว่า ที่ทราบมานี้ถูกผิดอย่างไร
- ถูกต้องในบางส่วนครับ คือเทวดาและพรหมทั้งหลายอาราธนาพระโพธิสัตว์ที่เป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิตว่าเป็นเวลาที่สมควรแล้วที่จะบังเกิดบนโลกเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่ามีจิตจำเพาะพิเศษที่เป็นจิตพระโพธิสัตว์ครับ แต่ตามที่กล่าวแล้ว เป็นจิตที่ปฏิสนธิด้วย ๓ เหตุ ประกอบด้วยปัญญาและมหากุศลวิบากที่ประกอบด้วยปัญญา โสมนัส และมีกำลัง เป็นเช่นนี้ทุกๆ พระองค์ และเป็นจิตที่สะสมคุณความดีมามากแล้ว พร้อมที่จะตรัสรู้ครับ แต่ไม่มีจิตพิเศษที่เรียกว่า จิตพระโพธิสัตว์ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโพธิสัตว์ มี ๓ ประเภท คือ
สัพพัญญูโพธิสัตว์ หรือสัมมาสัมพุทธโพธิสัตว์ คือผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม
ปัจเจกโพธิสัตว์ คือผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้สภาพธรรมได้ด้วยตนเอง
สาวกโพธิสัตว์ หรืออนุพุทธโพธิสัตว์ คือผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ธรรมเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สำหรับประเด็นคำถามที่ท่านผู้ถามได้ยกมานั้น มุ่งถึงสัพพัญญูโพธิสัตว์หรือสัมมาสัมพุทธโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นผู้ที่ข้องอยู่ในการที่จะตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง (ความหมายของโพธิสัตว์) ไม่ได้ข้องอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลาภ ยศสรรเสริญ เป็นต้น แต่ข้องอยู่ในการที่จะได้ตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง พระองค์ต้องบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ซึ่งแต่ละขณะชีวิตของพระองค์ที่ดำเนินไปนั้นก็เป็นจิตแต่ละขณะๆ เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย แต่เป็นไปกับด้วยการสะสมบารมีประการต่างๆ จนกว่าจะถึงความบริบูรณ์สมบูรณ์พร้อมในที่สุดในพระชาติที่เป็นเสตเกตุเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นสืบต่อจากพระชาติที่เป็นพระเวสสันดร เมื่อถึงเวลาอันสมควรที่จะจุติเคลื่อนจากความเป็นเสตเกตุเทพบุตร เพื่อเกิดในโลกมนุษย์และจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป เทวดาและพรหมทั้งหลายก็กราบทูลอาราธนาให้ทรงทราบ เมื่อพระองค์เคลื่อนจากความเป็นเทพบุตร จุติจิตเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีเป็นวิบากจิต อันเป็นผลของมหากุศลที่ประกอบด้วยเหตุทั้ง ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุคือปัญญา ซึ่งจะทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพราะผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ต้องปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เนื่องจากเป็นจิตของบุคคลที่มีการสะสมบารมีมาเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีการกล่าวเรียกด้วยโวหารเพื่อให้เข้าใจกันว่าหมายถึงจิตของพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่จิตของผู้อื่น เพราะแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกัน สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป คน สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
กราบนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ชาตินี้เกิดมาได้ฟังคำจริง คือพระธรรมที่ทรงแสดง จึงทำให้เห็นพระคุณของพระพุทธองค์ กว่าจะทรงตรัสรู้ความจริง ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่ยากและยาวนาน สะสมคุณความดีไว้ในจิต จนถึงการได้ตรัสรู้ด้วยจิตที่ปราศจากกิเลส
สัตว์โลกที่มีกิเลสจำเป็นต้องอาศัยคำของพระพุทธองค์เท่านั้น ที่จะขัดเกลากิเลสในตนด้วยปัญญาที่เกิดจากการฟังคำของพระพุทธองค์ด้วยความเคารพ และอดทน และไม่ประมาทในทุกคำ
ยินดีในกุศล และขอบพระคุณทุกท่านค่ะ