นิพพานไปทางไหน อยู่ที่ใจเห็น
นิพพานัง ปัสสะติ มัคคะติ คะเวสะติ เอตายาติ สัมมาทิฏฐิฯ
ปัสสติ - เห็นอยู่ มัคคะติ - ดำเนินไปอยู่ คะเวสะติ - แสวงหาอยู่ นิพพานัง ซึ่งพระนิพพาน (อนัตตา) เอตายาติ เพราะเหตุนั้น สัมมาทิฏฐิ จึงได้ชื่อว่า "สัมมาทิฏฐิ" คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" คือความรู้เห็นทางไปนิพพาน จึงได้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ คำว่า ทางไปนิพพาน ก็คือ อนัตตานั่นเอง นอกจากอนัตตานี้แล้ว ไม่มีทางอื่นเลยที่จะไปถึงนิพพานหากว่าเห็นอนัตตา ก็เห็นทางไปนิพพาน คำว่า "อนัตตา" ก็คือ สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องนั่นเอง สัมมาทิฏฐิจึงเป็นมัคคสัจและเป็นเหตุแห่งนิโรธความดับสงบเย็นแห่งกิเลสนี่แหละทางไปนิพพาน
ธรรมสากัจฉา ช่วงเช้าครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถูกต้องครับ เพราะมีปัญญา คือสัมมาทิฏฐิ ย่อมทำให้ถึงพระนิพพานได้ เพราะมีปัญญา คือความเห็นชอบตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา คือเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญและถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด เพราะมีสัมมาทิฏฐิ ก็ทำให้มีความคิดถูก วาจาที่ถูก การงานที่ถูกและชอบ อาชีพที่ชอบ ระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ มีความเพียรชอบ และทำให้หลุดพ้นชอบ นั่นคือประจักษ์พระนิพพานนั่นเองครับ แต่ก่อนจะถึงสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค มีองค์ ๘ ก็ต้องเริ่มจากปัญญาขั้นต้นคือเริ่มจากปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม โดยที่สำคัญเริ่มจากคำว่าธรรมคืออะไรให้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการเข้าใจความจริง แม้แต่คำว่าธรรม หากเข้าใจแม้แต่คำว่า ธรรมที่ถูกต้อง ก็ย่อมทำให้เป็นเหตุปัญญาเจริญขึ้น จนถึงปัญญาระดับสูง รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อันแสดงถึงการประจักษ์ลักษณะของความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั่นเองครับ ดังนั้น ปัญญาขั้นต้นคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมีอุปการะมากที่จะทำให้ถึงสัมมาทิฏฐิในอริยมรรคมีองค์ ๘ ครับ ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้วครับว่าการเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ย่อมทำให้ถึงพระนิพพานก็ด้วยสัมมาทิฏฐินั่นเองครับ ซึ่งก็ต้องละเอียดด้วยครับว่าก็ต้องประจักษ์ความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ด้วย รวมถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมครับ ซึ่งขอยกพระสูตรที่ตรงกับเรื่องนี้ คือเพราะมีความเห็นชอบ คือสัมมาทิฏฐิ ย่อมบรรลุธรรมประจักษ์พระนิพพานครับ
นิพพาน อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจ ที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นมรรคจิต ผลจิต เกิดขึ้น เห็นด้วยใจที่ประกอบด้วยปัญญา อันมีสัมมาทิฏฐิหรือวิชชาเป็นหัวหน้าครับ
ขออนุโมทนา คุณ dets25226 ที่เข้าใจถูกในประเด็นนี้ครับ
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 456
๗. ปฐมสุริยูปมสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อนการตรัสรู้อริยสัจ
[๑๗๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิ ฉันนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบปฐมสุริยูปมสูตรที่ ๗
[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 343
๕. อวิชชาวิชชาสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชชาเป็นประธานแห่งการเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย หิริและโอตตัปปะเป็นของมีมาตามวิชชานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีวิชชาเห็นแจ้ง ย่อมมีความเห็นชอบ ผู้มีความเห็นชอบ ย่อมมีความดำริชอบ ผู้มีความดำริชอบ ย่อมมีวาจาชอบ ผู้มีวาจาชอบ ย่อมมีการงานชอบ ผู้มีการงานชอบ ย่อมมีการเลี้ยงชีพชอบ ผู้มีการเลี้ยงชีพชอบ ย่อมมีความพยายามชอบ ผู้มีความพยายามชอบ ย่อมมีความระลึกชอบ ผู้มีความระลึกชอบ ย่อมมีความตั้งมั่นชอบ ผู้มีความตั้งมั่นชอบ ย่อมมีความรู้ชอบ ผู้มีความรู้ชอบ ย่อมมีความหลุดพ้นชอบ.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัมมาทิฏฐิ (ปัญญา) เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นมรรคองค์แรกในบรรดาอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่จะทำให้ผู้ที่ดำเนินตามหนทางนี้ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ และสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเลย ไม่มีทางที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญเรื่องของสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา ไว้มากมาย เพราะเหตุว่าเรื่องความเห็นเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเบื้องต้น ถ้าเห็นผิดแล้ว ดำริก็ผิด วาจาก็ผิด การงานก็ผิด เพียรก็ผิด เป็นมิจฉาไปทั้งหมด ถ้าไม่มีความเห็นชอบ อกุศลธรรมย่อมเกิดอยู่เรื่อยๆ มีความติด มีความยึดมั่น เหนียวแน่นในตัวตน ในสัตว์ ในบุคคล ในเรา ในเขาอย่างเต็มที่ทีเดียวตามความเห็นผิด ที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกเกิดขึ้น เจริญพอกพูนขึ้น ก็จะเป็นเหตุให้กุศลธรรมค่อยๆ เจริญขึ้น อกุศลลดน้อยลง คล้อยตามความเห็นที่ถูกต้อง จนกว่าจะถึงโลกุตตรกุศล คือมรรคจิตเกิดขึ้น เมื่อนั้นก็จะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ที่สำคัญคือไม่ขาดการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...