อวิชชาและสังขารในปฏิจจสมุปปาบาท
เรียน ท่านวิทยากร
ดิฉันฟังมาว่า อวิชชา คือ กรรมในอดีต และ สังขาร คือ กิเลสในอดีต ส่วน วิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ เป็นปัจจุบัน ชรา มรณะ อุปายาส โสกะ ปริเทวะ ... นั้นเป็นอนาคตของโลกิยบุคคล ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
๑. อวิชชา คือ กรรมในอดีตใช่ไหมคะ
๒. สังขาร คือ เจตสิก และเป็นกิเลสในอดีตใช่ไหมคะ
๓. กรรม ในพระอภิธรรม อธิบายอยู่ที่ใด
๔. กิเลส นั้น ในพระอภิธรรม รายละเอียดเป็นอย่างไรคะ คือเมื่อพยายามอ่านในหลายๆ แห่ง ยังสับสนอยู่
๕. ทั้งอวิชชา สังขาร วิญญาณ จะถูกทำลายด้วยการฟังธรรมได้อย่างไร เพราะวงจรวนเวียนตลอดเวลา เวลาฟังธรรม จะพยายามคิดว่าธรรมนี้ไปเกี่ยวข้องในการทำลาย อวิชชา สังขาร ได้อย่างไร แต่ทำไม่ได้ ดิฉันควรฟังธรรมอย่างไรดี หรือว่าดิฉันร้อนใจ ตั้งความปรารถนาสูงเกินกำลังไปหรือไม่คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. อวิชชา คือ กรรมในอดีตใช่ไหมคะ
- อวิชชา ไม่ใช่หมายถึงกรรมครับ
กรรม คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นสังขาร
อวิชชา คือ โมหเจตสิก ความไม่รู้ ซึ่งอวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารไม่ใช่กิเลสนะครับ แต่หมายถึงเจตนาที่เป็นไปในบุญ (กุศลกรรม) และบาป (อกุศลกรรม) เพราะความไม่รู้ อวิชชา ในอดีต เป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม (สังขาร) ในปัจจุบัน และเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรมและอกุศลกรรมในอนาคตด้วย (สังขาร) และแม้อวิชชาในปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะอวิชชาหรือโมหะในอดีตเท่านั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือเจตนาในการกระทำอกุศลกรรมด้วยครับ เพราะโมหเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกประเภทครับ
๒. สังขาร คือ เจตสิก และเป็นกิเลสในอดีตใช่ไหมคะ
- สังขาร คือ เจตนาเจตสิกที่เป็นในการทำกุศลกรรมและอกุศลกรรม
สังขารจึงไม่ใช่ หมายถึง กิเลสครับ แต่หมายถึง เจตนาเจตสิกในการทำกุศลหรืออกุศลครับ ซึ่งเพราะอาศัยการกระทำกุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีต เช่น มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ในอดีตเป็นปัจจัย เกิดวิญญาณคือปฏิสนธิจิต คือการเกิดในนรกครับ
๓. กรรม ในพระอภิธรรม อธิบายอยู่ที่ใด
- อยู่ในพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 705 เล่ม ๗๘ ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยครับ และเล่มเดียวกัน หน้าที่ 732 จะอธิบายเรื่องกรรม ในปฏิสัมภิทามรรค และ เรื่องกรรม ในพระสูตร ในนิทานสูตร เล่ม ๓๔ ครับ ก็อธิบายเรื่องกรรมโดยละเอียดครับ
๔. กิเลส นั้น ในพระอภิธรรม รายละเอียดเป็นอย่างไรคะ คือเมื่อพยายามอ่านในหลายๆ แห่ง ยังสับสนอยู่
- กิเลสในพระอภิธรรม ก็แสดงถึงตัวจริงของสภาพธรรม ที่เป็นกิเลสอย่างเดียว ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่มีกิเลส และแสดงลักษณะของกิเลสประการต่างๆ หลากหลายนัยครับ โดยที่เราไม่ต้องไปติดที่ชื่อ แต่ให้เข้าใจว่า กิเลสในพระอภิธรรม แสดงถึงลักษณะของกิเลสของแต่ละกิเลสเป็นสำคัญ ครับ
๕. ทั้งอวิชชา สังขาร วิญญาณ จะถูกทำลายด้วยการฟังธรรมได้อย่างไร เพราะวงจรวนเวียนตลอดเวลา เวลาฟังธรรม จะพยายามคิดว่าธรรมนี้ไปเกี่ยวข้องในการทำลายอวิชชา สังขารได้อย่างไร แต่ทำไม่ได้ ดิฉันควรฟังธรรมอย่างไรดี หรือว่าดิฉันร้อนใจตั้งความปรารถนาสูงเกินกำลังไปหรือไม่คะ
- ธรรมเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใจไปทีละน้อย ไม่ใช่ความเร่งรีบ รีบร้อน ซึ่งการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ ต้องเริ่มจากการเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรม คืออะไร และก็ฟังพระธรรมในส่วนต่างๆ แต่ไม่ใช่การจะไปคิดว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขารอย่างไร เพราะปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งอย่างมาก เมื่อปัญญาถึงระดับสูงมาก ย่อมทำให้พิจารณาตามความเป็นจริงอย่างนั้น และเพราะอาศัยปัญญาเบื้องต้น ย่อมถึงปัญญาระดับสูงได้ และเมื่อปัญญาสูงสุด ดับกิเลสได้ ขณะนั้น ก็เป็นการทำลายอวิชชาที่สะสมมาเนิ่นนาน และทำให้ไม่เกิดสังขาร คือไม่มีการทำบุญและบาป และก็มีวิญญาณ คือการปฏิสนธิในภพใหม่ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เพราะได้ประจักษ์ความจริง คือพระนิพพาน ถึงการดับกิเลส
ดังนั้น หน้าที่ คือไม่ใช่พยายามไปคิด พิจารณาองค์ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเหลือวิสัย แต่อาศัยการฟังพระธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ก็จะถึงการดับกิเลส และก็จะเข้าใจองค์ปฏิจจสมุปบาทด้วยการประจักษ์ความจริง และถึงการดับกิเลส และละ องค์ปฏิจจสมุปบาทด้วยปัญญาเองครับ ค่อยๆ ฟังพระธรรมต่อไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าหากหวัง ศึกษาด้วยความหวัง ก็จะหนักครับ ค่อยๆ ฟังพระธรรมต่อไป รู้คือรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ครับ หนทางอีกยาวไกล ค่อยๆ เข้าใจและฟังไป
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นกิเลสประเภทหนึ่งในบรรดากิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ เป็นต้น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อวิชชา ก็ยังมีอยู่ เป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือกระทำกรรม ที่เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้าง
สังขาร ในที่นี้ คือเจตนาเจตสิก ที่เกิดร่วมกับกุศลจิต [มหากุศล, รูปาวจรกุศล, อรูปาวจรกุศล] อกุศลจิต ตามการสะสมของแต่ละบุคคล เมื่อถึงคราวที่กรรมนั้นๆ ให้ผล ก็ทำให้มีการเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามสมควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว ทำให้สังสารวัฏฏ์ ยังดำเนินต่อไป เป็นไป เป็นเหตุให้ประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน มากมาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเพราะมีการเกิดในภพภูมิต่างๆ นั่นเอง
การที่จะดับวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น มีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ดำเนินตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นต้น จะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ท่านก็ดำเนินตามหนทางนี้มาแล้ว จึงทำให้ท่านเหล่านั้นได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับ ขั้นสูงสุดคือบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะดับเหตุที่จะทำให้มีการเกิดในภพต่างๆ ได้แล้ว มี อวิชชาและตัณหา เป็นต้น หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เป็นหนทางที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ละคลายกิเลส จนกว่าจะสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นในที่สุด ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ความจริงแห่งชีวิต ... ตอนที่ ๙๓ จิตตสังเขป (กิเลส กรรม วิบาก)
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
อวิชชา คือ ความไม่รู้ ถูกความมืดปิดบัง ไม่ให้รู้ความจริงของธรรมะ จะละอวิชชาได้ด้วยการอบรมเจริญวิชชาคือความรู้ คือปัญญาที่ทำให้เราออกจากสังสารวัฏฏ์ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อวิชชา คือ ความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็เลยหลง เป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสทั้งปวง พระอนาคามียังละไม่ได้ เพราะพระอนาคามียังหลง ทั้งๆ ที่พระอนาคามีละกามกิเลสและสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว เข้าใจยากครับสำหรับปุถุชน ... แต่ความไม่รู้คือไม่รู้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่รู้เหตุของอดีต ปัจจุบันและผลในอนาคต และไม่รู้อริยสัจ ๔ เมื่อไม่รู้ ก็เลยมีเจตนาและกระทำกรรม เมื่อมีกรรมก็ย่อมมีวิบาก วนรอบ เช่นนี้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้ (ปัญญา) จะเจริญขึ้นไปตามลำดับ สะสมทีละเล็กทีละน้อยเป็นพื้นฐานที่มั่นคง ลองพิจารณาถึงก่อนหน้าที่ยังไม่เคยฟังพระธรรม กับตอนนี้ที่สะสมการฟังมาแล้ว จะรู้ว่ามีความรู้ความเข้าใจขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่อาจรู้สึกว่ายังน้อยไป หรือไม่เป็นเท่าที่หวัง ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะปัญญาเจริญขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะความอยากหรือความหวังของเรา ... ธรรมเป็นไปเพื่อ "ละ" เมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่สบายใจ เมื่อฟังพระธรรมหรือพิจารณาพระธรรม ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะตอนที่เข้าใจเป็นกุศล เบาสบาย ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ