พิจารณาอสุภะ นึกว่าเอาอยู่ แต่เอาไม่อยู่ครับ ช่วยที

 
นักเดินทาง
วันที่  26 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20241
อ่าน  60,843

อวัยวะภายในทั้งหลาย ตอนไม่มีความรัก มันน่ากลัวมาก พอมีความรัก มันทำให้ไม่น่ากลัวขึ้นมาเลย ผมเคยเห็นคนไม่กลัวอสุภะ เอาศพแม่ เอาศพคนรัก ไปไว้ที่บ้านไม่ยอมเผา จนศพเหลือแต่กระดูกก็มี ไม่มีรังเกียจเดียดฉันท์เลย ความรักมันเอาชนะอสุภะได้ครับ ทีนี้บางช่วงเวลาพิจารณาอสุภะ จิตก็จึงไปคิดว่าเทวดาไม่มีอสุภะ เวลาจะตายก็หายไปเลย ร่างกายเป็นทิพย์ จิตมันหลงเข้าไปอีก มีคำถามในใจ เอานะไปเป็นเทวดาก็ได้ อุดมสุขสักระยะ ค่อยพิจารณาขันธ์ในขันธ์แทนอสุภะเอา เลยทิ้งพิจารณาอสุภะของมนุษย์ไปอย่างงั้น นี่ความหลงไปในเทวดา ชนะอสุภะอีกแล้วเป็นอย่างนี้ จะจับกิเลสหลงรูปหลงรัก ขึ้นเขียงสับมันยังไงดีรู้สึกจิตมันแสวงหาข้อแก้การพิจารณาอสุภะไปเรื่อยๆ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม เป็นเรื่องละเอียด แม้แต่การจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูก ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทำเพื่ออะไร และหนทางที่ถูกต้องในการละกิเลสใช่สิ่งนั้นหรือไม่

การพิจารณาความเป็นอสุภะ คือไม่งาม ซึ่งก็ต้องมีปัญญาเป็นสำคัญ หากไม่มีปัญญา แทนที่จะเป็นกุศล ก็เป็นอกุศล เพราะไม่มีความเข้าใจเบื้องต้น แม้แต่คำว่าอสุภะ คือไม่งามอย่างไร

ที่สำคัญที่สุด การละกิเลส ละคลายกิเลส ไม่ใช่การเลือกอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดตามความพอใจ เพราะการอบรมปัญญาไม่ใช่ว่าจะต้องมาพิจารณาอสุภะครับ เพราะหนทางการอบรมปัญญาที่จะละกิเลส คือการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา กิเลสที่ต้องละเป็นอันดับแรก คือความเห็นผิดที่ยึดถือว่ามีเรา การพิจารณาอสุภะ ก็มีสัตว์ เป็นเราที่ไม่งาม เป็นเขาที่ไม่งาม ไม่ได้ละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเขา ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา

ดังนั้น ขอให้เริ่มกลับมาสู่ความเข้าใจเบื้องต้น ในหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องว่าไม่ใช่จะต้องไปพิจารณาอสุภะความไม่งาม เพราะขณะนี้มีสภาพธรรม ก็ไม่รู้จักว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เริ่มเข้าใจหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องใหม่ครับ ว่าจะต้องรู้จักตัวธรรมที่มีในขณะนี้ก่อน เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เพื่อถ่ายถอนความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนครับ ซึ่งหากอบรมปัญญาเบื้องต้นอย่างนี้ คือเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ย่อมเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่งาม ปฏิกูลอย่างแท้จริงครับ เพราะความปฏิกูล ไม่งามของสภาพธรรม คือสิ่งใดเกิดขึ้นและดับไปไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่งาม เป็นปฏิกูลครับ ดังนั้น ไม่ว่า มนุษย์ แม้แต่เทวดาที่เป็นการประชุมรวมกันคือขันธ์ ๕ ที่ไม่เที่ยง ก็ไม่งาม ปฏิกูล เพราะความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปนั่นเอง แสดงถึงความปฏิกูล ไม่งามแล้วครับ แม้ร่างกายจะประณีตเพียงไร ก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป จึงปฏิกูลครับ

จะเห็นนะครับว่า หากเราเข้าใจหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม การอบรมปัญญาเช่นนี้ ปัญญาที่เจริญขึ้นย่อมละกิเลสความไม่รู้ และเห็นตามควาเมป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่งาม ปฏิกูลเสมอกันหมด ไม่ว่าอยู่ในภพภูมิไหน เกิดเป็นอะไร เมื่อเป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ก็ปฏิกูลโดยประการทั้งปวง โดยที่ไม่ต้องไปพิจารณาอสุภะและไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะไม่มีความเข้าใจเบื้องต้นนั่นเองครับ กลับมาเริ่มต้นในหนทางที่ถูก ดีกว่าการเข้าใจผิด และไม่สามารถละกิเลสได้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าเริ่มต้นจากความไม่รู้ แล้วไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ (โดยที่เข้าใจผิดว่ารู้แล้ว ถูกต้องแล้ว) ก็มีแต่จะสะสมความไม่รู้ สะสมความเห็นผิดมากยิ่งขึ้น พอกพูนอกุศลให้มีมากขึ้น เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อความไม่รู้ ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเท่านั้นจึงจะเข้าใจไปตามลำดับ แต่ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาเลย ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจแม้แต่ในเรื่องของอสุภกรรมฐาน ที่เป็นสมถภาวนานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องของปัญญา ต้องมีปัญญาที่เข้าใจความต่างของกุศลและอกุศล พร้อมทั้งรู้ด้วยว่าจิตจะสงบได้ด้วยอารมณ์ประเภทใด แต่ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วไปเพ่งอสุภะ เพ่งซากศพ ก็ไม่เป็นไปเพื่อละคลายกิเลส และถึงแม้ว่าจะเจริญถูกต้องในเรื่องอสุภกรรมฐานที่เป็นสมถภาวนา ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพียงแต่ระงับกิเลสไว้ด้วยกำลังแห่งความสงบของจิตเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐานที่ระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏ สติและปัญญาก็เกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ที่เริ่มจากการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ย่อมจะเป็นไปเพื่อละกิเลสได้ในที่สุด สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ควรอย่างยิ่งที่จะได้เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Admax
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

อย่างที่ท่าน paderm และ ท่าน khampan.a กล่าวดีแล้ว ผมขออนุญาตกล่าวความตามความคิดปรุงแต่งของผมดังนี้ว่า

อสุภะ คือ ไม่สวย ไม่งาม การที่เราเพ่งอสุภะเพื่อละความหลง เพื่อความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ คือ กาย-ใจ เรานี้แหละ เพื่อให้ใจมันละความพอใจยินดีในกามตัณหา เป็นต้น ความยึดมั่น ถือมั่นว่านี่เขา นี่เรา เป็นต้น การที่คุณนั้นหลุดสมถะที่เรียกว่า อสุภกรรมฐานนี้ แล้วหลงอยู่ตั้งอยู่ในสิ่งที่คุณเรียกว่ากายทิพย์นั้น เพราะคุณพอใจยินดีในรูปแบบของกายทิพย์ที่คุณกล่าว เมื่อพอใจอยู่ก็คิดปรุงไปเรื่อย ระคนกับความอยากได้ต้องการทะยานอยากของคุณ จนหลุดจากสภาพความเป็นจริง เพราะไม่รู้จึงหลง เพราะหลงจึงฟุ้งไป แม้กายทิพย์ที่คุณกล่าวว่าเป็นเทวดานั้นก็ไม่คงอยู่นาน มีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา มีความเกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสัจจ์จริงแท้แน่นอน ให้คุณลดละความพอใจยินดีในกายทิพย์นั้นเสีย พึงวางใจกลางๆ ไว้เพื่อความไม่หลง แต่ไม่อาจจะฝืนใจให้ไม่คิดได้ใช่มั้ยครับ ที่ทำได้คือรู้สภาพจริง ว่า นี่คือความคิดปรุงแต่งสมมติไปตามความพอใจยินดีของคุณว่ากายทิพย์ เทวดา ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ต้องมีสภาพอย่างนี้แน่ ทั้งๆ ที่สภาพความจริงมันไม่มีกายทิพย์มาหาคุณ ไม่ได้มาให้คุณเห็น คุณไม่เคยได้รับรู้ความจริงว่าเป็นเช่นไร ได้แต่รับฟังแล้วคิดสมมติบัญญัติปรุงแต่งไป ที่ตั้งอยู่นั้นมันมีแต่ความคิดของคุณที่พอใจยินดีกับกายแบบนั้นเท่านั้นเอง เมื่อสติกลับมา ให้มองดูว่าร่างกายที่คุณอาศัยอยู่ ที่มีรูปธาตุทั้งหลายรวมกันเป็นรูปร่าง แล้วคุณบัญญัติเรียกมันว่ากายนี้ แล้วพิจารณาดูว่าความเป็นจริงแล้ว สภาพกายคุณที่เป็นอยู่นั้น มันประกอบด้วยขันธ์ ๕ ส่วนกายทิพย์ที่ตรึกนึกนั้นมันเป็นความคิดปรุงแต่งจากความพอใจ ยินดีของคุณเอง มันฟุ้งไป มันหลงไป เพราะความคิดพอใจยินดีคุณเอง โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว ที่คุณสิงสถิตอยู่ มันคือขันธ์ ๕ มี รูป-นาม ที่เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

เรียน สนทนาในความเห็นที่ 4 ครับ

การละความพอใจติดข้องในรูปร่างกายที่เป็นกามตัณหา กับการละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล แตกต่างกันครับ แต่สำคัญที่มีปัญญาทั้งคู่ ซึ่งผู้ที่จะละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส และความเป็นเรา ยินดีในความเป็นเราจนหมดสิ้น คือถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ก่อนถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงต้องอบรมปัญญาขั้นต้น ซึ่งกิเลสที่ต้องละเป็นอันดับแรก คือละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ซึ่งหนทางเดียว ที่จะละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ไม่ใช่การเจริญอสุภะ แต่เป็นการเจริญสติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ครับ

ดังนั้น เราจะต้องเริ่มจากความเห็นถูกว่า ปัญญารู้อะไรในเบื้องต้น คือรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ ไม่ใช่จะไปละคลายความเป็นเราด้วยอสุภะ ซึ่งไม่ใช่หนทางละคลายความเป็นเราได้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ถ้าพิจารณาตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้องและแยบคาย จนมีความสงบถึงอุปจาระและอัปปนา ถึงจะข่มกามราคะคือความติดข้องได้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
intra
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

คงต้องฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะเจริญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
boonpoj
วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
satid189fengshui
วันที่ 14 มิ.ย. 2565

ขอบคุณครับ ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ