เรื่องของสติปัญญา

 
tookta
วันที่  26 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20242
อ่าน  17,127

ทำไมคนเราเกิดมาสติปัญญาไม่เท่ากัน บางคนก็ฉลาดหลักแหลมมาก บางคนก็ฉลาดปานกลาง บางคนก็ไม่ฉลาดเอาเสียเลย บางคนที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ฉลาดก็ได้พยายามและมีความเพียรที่จะสะสมความฉลาดก็ยังฉลาดน้อยอยู่ดี แต่คนที่ฉลาดหลักแหลมมากไม่ต้องทำอะไรเขาก็ฉลาดมากเหมือนเดิม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาทำบุญอะไรมาคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความแตกต่างกันของแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง แต่ละประเภท ทุกอย่างมีเหตุทั้งสิ้นครับ ซึ่งก่อนอื่น เมื่อพูดถึงเรื่องของความฉลาดที่เป็นปัญญา ก็ต้องแยกระหว่างปัญญาทางโลกและทางธรรมก่อนครับ ปัญญญาทางโลก ก็คือ ความฉลาดที่คิดเป็นเหตุเป็นผล ความชำนาญในเรื่องราว วิชาการต่างๆ นั่นเป็นความฉลาดทางโลก ที่ไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิก เพราะแม้คิดเป็นเหตุเป็นผลในทางโลกได้ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต หรือขณะนั้นไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ ดังนั้น ฉลาดด้วยวิตกมนสิการ ด้วยอกุศลจิต มีโลภะ เป็นต้น ได้ครับ

แต่ความฉลาดที่เป็นปัญญาจริงๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิก คือความเห็นถูกตามความเป็นจริงตามสัจจะของธรรมชาติ เช่น ปัญญาที่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ปัญญาที่เป็นการอบรมปัญญา เพื่อความเจริญขึ้นของสิ่งที่ดี คือกุศล อันเป็นปัญญาที่เป็นสมถภาวนา หรือปัญญา คือความเห็นถูกที่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ดังนั้น ปัญญา ความฉลาดที่ถูกต้อง ที่เป็นปัญญาเจตสิก จึงเป็นกุศลธรรม และเป็นการเห็นทุกสิ่งถูกต้องตามความเป็นจริงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

เมื่อเราแยก ความฉลาด ปัญญาทางโลกและทางธรรมออกตามความเป็นจริงแล้ว ก็มาพูดถึงประเด็น ความฉลาด ที่แตกต่างกันว่าเกิดจากอะไรครับ

ซึ่งจะขอกล่าวถึงความฉลาดทางโลกที่เป็นความคิดมีเหตุผล ในเรื่องราวของสมมติทางโลก ที่แต่ละคนมีความฉลาดแตกต่างกัน เพราะเหตุใด ที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคนสะสมเรื่องราวเหตุผลในวิชาเรื่องนั้นมาแตกต่างกันครับ ผู้ที่สะสมเรื่องราวความคิดเป็นเหตุเป็นผลบ่อยๆ ในอดีต แม้ในอดีตชาติด้วย ก็ทำให้เป็นผู้มีหลักคิด ฉลาดในเรื่องราวทางโลกได้ดีกว่า มากกว่าผู้ที่ไม่ได้สะสมเรื่องราว การคิดเป็นเหตุเป็นผลในเรื่องนั้นบ่อยๆ ครับ

ดังนั้น สำคัญที่สะสมมาไม่เท่ากัน คือผู้ที่สะสมสิ่งนั้น ในเรื่องนั้นมาบ่อยกว่า ย่อมจะชำนาญในเรื่องนั้นมากกว่า อาจจะมองว่า บางคนเพิ่งเข้ามา แต่เรียนรู้ได้เร็วกว่าคนที่ฝึกมาตั้งนาน แต่เรามองเพียงชาตินี้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น

ในความเป็นจริง สัตว์โลกมีการเกิดตายนับไม่ถ้วน ดังนั้น ชาติก่อนๆ คนที่เข้ามารับงานใหม่ แต่เป็นผู้ฉลาด เรียนรู้ได้เร็วกว่าคนที่เข้ามานานฝึกมานาน เพราะผู้ที่ฉลาด เรียนรู้ได้เร็วนั้น ในอดีตชาติมากมายนับไม่ถ้วน ได้มีการอบรมสะสมสิ่งนั้น เรื่องราวนั้น และการคิดด้วยเหตุผลมานับชาติไม่ถ้วน มากกว่าคนที่ไม่ฉลาดที่เรียนรู้ได้ช้ากว่านั่นเองครับ ดังนั้น เหตุผลที่ทำให้มีความฉลาดทางโลกแตกต่างกัน เพราะสะสมเรื่องนั้น วิชาการนั้น ความคิดเป็นเหตุเป็นผลมามากกว่า จึงเป็นผู้ฉลาดในทางโลกมากกว่าผู้อื่นครับ ซึ่งไม่ใช่เพียงชาตินี้ ในอดีตชาตินับไม่ถ้วนครับ ทำให้แต่ละคนมีความถนัดแต่ละอย่างไม่เท่ากันครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ซึ่งจากคำกล่าวที่ว่า บางคนที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ฉลาดก็ได้พยามและมีความเพียรที่จะสะสมความฉลาด ก็ยังฉลาดน้อยอยู่ดี แต่คนที่ฉลาดหลักแหลมมาก ไม่ต้องทำอะไรเขาก็ฉลาดมากเหมือนเดิม


- ตามที่กล่าวแล้วครับ คนที่ฉลาดน้อยในทางโลก เพราะสะสมมาน้อยในเรื่องนั้นตามที่กล่าวมา และเมื่อพยายามฝึกฝน ก็ยังน้อยอยู่ดี เพราะเพียงสะสมเพิ่มเพียงชาตินี้เท่านั้น ก็ยังสะสมไม่มาก จึงทำให้ความฉลาดทางโลก ไม่ได้ก้าวกระโดดทันทีครับ เพราะเริ่มสะสมไปทีละน้อย ส่วนคนที่ฉลาดอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะก้าวกระโดดมาฉลาดทันทีครับ แต่เขาสะสมความฉลาด หลักคิด เรื่องราวทางโลกมานับชาติไม่ถ้วนในอดีตชาติ จึงทำให้ฉลาดมาก เมื่อพบกับสิ่งที่เคยเรียนรู้ สะสมมาแล้วก็เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ต้องฝึกมากก็เข้าใจได้เร็วครับ เพราะสะสมมามากแล้วในอดีตชาตินั่นเองครับ

คราวนี้พูดถึงประเด็น ความแตกต่างของปัญญาทางธรรมที่เป็นปัญญาจริงๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิก คือความเห็นถูกตามความเป็นจริง ทำไมแต่ละคนถึงแตกต่างกัน บางคนมีปัญญามาก มีปัญญาน้อยหรือไม่มีปัญญา

ทุกอย่างก็ต้องมีเหตุครับ โดยนัยเดียวกันครับ ก็เพราะมีการสะสมสิ่งนั้น คือสะสมความเข้าใจพระธรรม สะสมความเห็นถูกมามากน้อยแตกต่างกันไปครับ

ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจก่อนครับว่า เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญานั้น คืออะไร เหตุให้เกิดปัญญาแสดงหลายนัย ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม การสอบถาม และการสนทนา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา ซึ่งก็ต้องสะสมการฟัง การศึกษาในสิ่งที่ถูกต้อง คือพระธรรมที่ถูกต้องด้วย ผู้ที่ในชาตินี้ฟังพระธรรมเข้าใจได้เร็วหรือสามารถบรรลุธรรมได้ แสดงว่าเป็นผู้สะสมปัญญามามาก ก็เพราะในอดีตชาตินับไม่ถ้วน มีการสะสมเหตุของปัญญา คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมและสอบถามสนทนาบ่อยๆ ในอดีตชาติมามากมายนับไม่ถ้วน จึงทำให้ชาตินี้มีปัญญามากนั่นเอง

ส่วนผู้มีปัญญาความเข้าใจน้อย ก็เพราะในอดีตชาติสะสมการฟัง สอบถาม สนทนาในพระธรรมที่ถูกต้องยังไม่มาก ก็เป็นเหตุให้ปัญญายังมีไม่มาก ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมเหตุ คือการฟังพระธรรมที่ถูกต้องเลย ก็ไม่มีปัญญาที่เป็นความเห็นถูก แต่สะสมแต่ความเห็นผิดครับ ดังนั้น ปัญญาแตกต่างกัน เพราะสะสมเหตุให้เกิดปัญญาแตกต่างกัน คือสะสมมามาก ก็มีปัญญามาก สะสมมาน้อยก็มีปัญญาน้อย ไม่ได้สะสมมาก็ไม่มีปัญญา แต่มีความเห็นผิดอย่างเดียวครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ซึ่งในพระไตรปิฎกแสดงไว้ชัดเจน ในเรื่องนี้ครับ ว่า ทำไมสัตว์โลกถึงมีความแตกต่างกันเพราอะไร และทำไมบางคนมีปัญญามาก ทำไมบางคนมีปัญญาน้อย แตกต่างกันเพราะอะไร ซึ่งในจูฬกัมมวิภังคสูตร แสดงความแตกต่างของสัตว์โลก คือ

สุภมาณพ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมมนุษย์ในโลกนี้ถึงปรากฏความแตกต่างกัน คือ มีอายุยืน อายุสั้น มีโรคมาก มีโรคน้อย รวยและจน มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม มีปัญญาและไม่มีปัญญา เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่สัตว์แตกต่างกันเช่นนี้ เพราะเหตุ คือ กรรมที่แตกต่างกันครับ.

เช่น คนที่อายุยืน เพราะทำกรรม คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ส่วนคนที่อายุสั้น ก็ทำกรรม คือเป็นผู้ฆ่าสัตว์ เมื่อกรรมให้ผล ก็ทำให้อายุสั้น ดังนั้น สัตว์แตกต่างกัน ก็เพราะกรรมจำแนกให้สัตว์แตกต่างกันไปตามกรรมที่ทำมา และก็มาถึงความแตกต่างของปัญญา พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงครับว่า ที่มนุษย์บางคนมีปัญญามาก บางคนมีปัญญาน้อย เพราะความแตกต่างกัน คือทำเหตุมาต่างๆ กัน คือบุคคลบางคนในโลกนี้ไม่เข้าไปสอบถามผู้รู้ ผู้มีปัญญา ถึงความจริงเป็นเช่นไร เช่น อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ

เมื่อไม่สอบถาม ก็ไม่ได้สะสมปัญญาความเข้าใจ ก็ทำให้เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ก็ไม่มีปัญญาหรือมีปัญญาน้อย เพราะไม่ได้สะสมเหตุของปัญญา คือการสอบถาม เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรมอันเป็นสิ่งที่ทำให้ปัญญาเจริญครับ แต่บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปสอบถาม สนทนากับผู้รู้และได้ฟังพระธรรมที่ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมนั่น คือการสอบถามสนทนาในสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญา เพราะได้ฟังสิ่งที่ถูก ก็ทำให้คนนั้นมีปัญญา เข้าใจธรรมมากกว่าผู้ที่ไม่สอบถาม สนทนาและได้ฟังพระธรรมครับ นี่คือเหตุที่แตกต่างกัน ทำให้มีปัญญาแตกต่างกันครับ ก็เป็นเรื่องของกรรม การกระทำ คือการทำเหตุให้เกิดปัญญา คือสอบถาม สนทนาและฟังในสิ่งที่ถูกต้องจากผู้รู้นั่นเองครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...

ปัญญาแตกต่างกันเพราะอะไร [จูฬกัมมวิภังคสูตร]

ส่วนคำกล่าวที่ว่า บางคนที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ฉลาด ก็ได้พยายามและมีความเพียรที่จะสะสมความฉลาด ก็ยังฉลาดน้อยอยู๋ดี แต่คนที่ฉลาดหลักแหลมมากไม่ต้องทำอะไร เขาก็ฉลาดมากเหมือนเดิม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

- ผู้ที่รู้ตัวว่าไม่ฉลาด มีปัญญาน้อย ก็สามารถเป็นบัณฑิต คือมีปัญญาได้ เพราะรู้ว่าตนเองปัญญายังน้อย ก็อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม สอบถาม สนทนาในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ความรู้จะก้าวกระโดดทันที เพราะสะสมอวิชชาความไม่รู้มามาก จึงต้องค่อยๆ สะสมไป และเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ก็สามารถทำให้เป็นผู้มีปัญญามากได้ แต่ต้องใช้เวลานับชาติไม่ถ้วนครับ แต่ผู้ที่ไม่ฉลาด สำคัญว่าฉลาดมีปัญญา ก็ยากที่จะมีปัญญาได้ เพราะสำคัญผิด จึงไม่ศึกษาและสอบถาม สนทนา เพราะเข้าใจว่ารู้แล้ว ก็ทำให้เสื่อมจากปัญญาครับ

ดังนั้น ทุกอย่างต้องมีเหตุและเป็นเรื่องของการสะสมมา ทำให้แตกต่างกันไป เมื่อรู้ถึงเหตุที่ดี ที่ทำให้เกิดปัญญาแล้ว คือการสอบถาม สนทนา ฟังพระธรรม ก็อบรมเหตุต่อไป พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็ต้องมีปัญญาจากน้อยมาก่อน แล้วค่อยมากขึ้นเพราะใช้เวลายาวนานในการอบรมปัญญา ฉันใด ผู้ที่ใฝ่ธรรมทั้งหลายก็สามารถอบรมปัญญาทีละน้อย แต่ด้วยหนทางที่ถูกต้อง ก็สามารถถึงความเป็นผู้มีปัญญามากได้ครับ ที่สำคัญไม่ต้องห่วงจะมากหรือจะน้อย หน้าที่คือ อบรมเหตุเท่านั้นครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเฉลียวฉลาดหลักแหลมในทางโลก เป็นศิลปะ ความชำนาญในด้านนั้นๆ ซึ่งต้องอาศัยความเพียรพยายามในการประกอบสะสมบ่อยๆ เนืองๆ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้วก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตและเจตสิกเลย ความเฉลียวฉลาดในทางโลกไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่สภาพธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสได้เลย ต้องเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถึงจะสามารถดับกิเลสได้

สำหรับปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส นั้น จะมีขึ้นได้ เจริญขึ้นได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สนทนา สอบถามจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญา เป็นต้น ซึ่งจะต้องเป็นผู้เคยเห็นประโยชน์ของปัญญามาแล้ว ในชาติก่อนๆ ก็ต้องเคยเป็นผู้เข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตรผู้มีปัญญาเพื่อฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก มาแล้ว จึงทำให้ชาตินี้ เป็นผู้เห็นประโยชน์ของปัญญา สนใจที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เมื่อฟังพระธรรมต่อไปบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอน้อมจิต อนุโมทนาบุญด้วยเศียรเกล้าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
วิริยะ
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ฉลาดทางโลกไม่พ้นวัฏฏะ ฉลาดทางธรรมมีสิทธิพ้นวัฏฏะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

เพราะสะสมมาต่างกัน แม้แต่รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ยศ ทรัพย์ ชาติตระกูล ก็ไม่เหมือนกัน ทั้งหมดมาจากเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้วแต่ในอดีตชาตินับชาติไม่ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
intra
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
tookta
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอขอบคุณ คุณผเดิม, คุณคำปั่นนะคะ และขอบคุณทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นต่างๆ นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ole.xxx.285
วันที่ 24 ก.พ. 2562

ขออนุโมทนา สำหรับธรรมะ ที่ง่ายและสะดวกต่อการค้นคว้าครับ เป็นประโยชน์มากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Atichat
วันที่ 11 มิ.ย. 2562

อนุโมทนา สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ