ทิ้งเสียนั่นแหละ กลับจะเป็นประโยชน์

 
dets25226
วันที่  29 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20256
อ่าน  5,268

ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้นจงละมันเสีย; สิ่งนั้นอันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ. ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่า ที่ไม่ใช่ของเธอ? ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย; จักษุนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เธอ (ในกรณีแห่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโนก็ได้ ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน)

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน อะไรๆ ในแคว้นนี้ ที่เป็นหญ้า เป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้ ที่คนเขาขนไปทิ้ง หรือเผาเสียหรือทำตามปัจจัย; พวกเธอรู้สึกอย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือทำแก่เราตามปัจจัยของเขา? "ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยพระเจ้าข้า เพราะเหตุไรเล่า? "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุว่า ความรู้สึกว่าตัวตน (อัตตา) ของตน (อตฺตนิยา) ของข้าพระองค์ไม่มีในสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าข้า"

ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มโน ไม่ใช่ของเธอเธอจงละมันเสีย สิ่งเหล่านั้นอันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอแลฯ

หมายเหตุ:- องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ตรัสสอนสมเป็น ปุริสทมฺมสารถิ สาธุๆ ฯ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอ สิ่งนั้น จงละมันเสีย; สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าที่ไม่ใช่ของเธอ

สิ่งที่มีจริง คือสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่เป็นจิต เจตสิก และรูปที่ประชุมรวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคล ตัวตน แต่เพราะความไม่รู้และความเห็นผิดที่สะสมมาจึงสำคัญว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นครับ

พระพุทธเจ้าทรงอุปมา ว่า สิ่งต่างๆ ที่คิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล แต่มีแต่ธรรมด้วยอุปมาที่ว่าเหมือนกับใครคนใดคนหนึ่ง นำกิ่งไม้ ใบไม้ หญ้า ในพระเชตวันไปเผา เธอจะสำคัญว่าคนเหล่านั้นเอาตัวเราไปเผาหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะหญ้า กิ่งไม้ ใบไม้ ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นเพียงรูปธรรม หรือสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยของเขา ไม่ใช่ตัวเรา ฉันใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจก็ไม่ใช่เราเช่นกัน แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ จึงเกิดขึ้นประชุมรวมกัน ที่เป็นจิต เจตสิก และรูปเท่านั้น จึงไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลครับ ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ หญ้า เพราะสิ่งเหล่านั้นก็เป็นสภาพธรรมเช่นกัน อาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่เราก็ไปสมมติเรียกว่า นี่คือหญ้า นี่คือใบไม้ แต่ความจริงแม้ไม่ใส่ชื่อให้เขา ตัวจริงของเขามีอยู่ คือการประชุมกันของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม รูปธรรมอื่นๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับที่เราไปสมมติว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเรา ความจริงไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ขันธ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเท่านั้นครับที่ประชุมรวมกัน แต่เพราะความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ยึดถือด้วยอำนาจกิเลสมีโลภะและความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งสภาพธรรมเหล่านี้ไม่เที่ยง เมื่อยึดถือสิ่งที่ยึดถือไม่เป็นดั่งใจเรา ความสุขก็ไม่เที่ยง ทำให้ก็ต้องทุกข์เพราะสภาพธรรมไม่เที่ยง แปรปรวนไป สิ่งที่ได้จากการยึดถือก็คือความทุกข์ประการต่างๆ รวมทั้งอกุศลที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะฉะนั้น จึงนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งไม่เป็นประโยชน์เกิดขึ้น คือความทุกข์ อกุศลประการต่างๆ เพราะความยึดถือด้วยอำนาจกิเลสนั่นเองครับ

ดังนั้น พระพุทธพจน์ที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอ สิ่งนั้นจงละมันเสีย สิ่งนั้นอันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ

อะไรที่ควรละ ต้องละเอียดครับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มีอยู่แล้ว ขันธ์ ๕ มีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ควรละ คือความติดข้อง อกุศลประการต่างๆ มีความเห็นผิด และโลภะ เป็นต้น ที่เข้าไปยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล สิ่งที่ต้องละและนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์คืออกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ใช่ไปละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครับ เมื่อละอกุศลที่ยึดถือได้ ก็ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์คือกุศลธรรมและความไม่ทุกข์ประการต่างๆ อีกจนถึงการไม่เกิดอีก เพราะละเหตุ คืออกุศลนั่นเองครับ จึงนำมาซึ่งประโยชน์และความสุขที่แท้จริงคือการไม่เกิด ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปครับ

อะไรจะละได้ ก็ด้วยปัญญา ดังนั้น สิ่งที่ควรละ คือกิเลส สิ่งที่ควรเจริญ คือปัญญา ซึ่งการจะละได้จริงๆ ต้องเป็นปัญญาระดับสูง ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องทีละเล็กละน้อย เมื่อปัญญาถึงพร้อมก็สามารถละอกุศลคือละสิ่งที่จะนำมาในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ได้หมดสิ้นครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
dets25226
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

...ขอบคุณอาจารย์มากครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

การจะละอกุศล ต้องละด้วยความรู้ คือ ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีทางที่จะละอกุศลทั้งหลายได้ แม้แต่การที่จะละคลายความเป็นตัวตน ก็ต้องมีความเข้าใจธรรมะและเริ่มอบรมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา คือขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นภาวนา โดยเฉพาะมีความรู้ ความเข้าใจ และมั่นคงในหนทางนี้ คืออบรมการเจริญสติปัฏฐาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม และมีจริงในชีวิตประจำวัน การที่จะละหรือดับนั้น ต้องละกิเลส อกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ละบุคคลก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งนั้น อันเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ให้ไปละตา หู จมูก เป็นต้น แต่ที่ละ คือละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเหล่านี้ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล และเมื่อดับกิเลสอันเป็นเหตุให้มีสภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น สภาพธรรมเหล่านี้ก็จะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ กล่าวคือ เมื่อดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับเหตุที่จะทำให้มีการเกิดในสังสารวัฏฏ์ได้แล้ว เมื่อดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เกิดอีก เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกทั้งสิ้น ไม่ใช่พอไปอ่านพระธรรมที่ว่าด้วยการละขันธ์ทั้ง ๕ ก็จะไปละด้วยความที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเลย เป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่ค่อยสะสมอบรมไปตามลำดับเท่านั้นจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 29 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
intra
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วิริยะ
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
natre
วันที่ 3 ธ.ค. 2555

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 29 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 ก.พ. 2560

ปัญญาที่อบรมจากการฟังพระธรรมแล้ว ความเข้าใจคือปัญญาที่เจริญขึ้น จะทำหน้าที่ค่อยๆ ละความเห็นผิด ไม่ใช่เราที่ละ ซึ่งต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมด้วยความเคารพ จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Jiratchapan
วันที่ 19 ก.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ