วิญญาณคนเรามาจากไหน
คนเรามาจากไหนครับ ในความหมายนี้ หมายถึง วิญญาณเราเกิดมาจากไหน จุดเริ่มมายังไง และทำไม/เพราะอะไรถึงมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ เป็นมายังไงครับ หมายถึงจุดเริ่มต้น เลยน่ะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่น ควรเข้าใจ คำว่า วิญญาณให้ถูกต้องครับว่า วิญญาณ คือ สภาพธรรม ที่เป็นจิตซึ่งอาจจะใช้คำว่า มโน มนัส หทย เป็นต้น หรือ วิญญาณ ก็ได้ ความหมาย ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริง คือ จิตนั่นเอง ซึ่งเป็นสภาพรู้ เมื่อเป็นแต่เพียงสภาพรู้ วิญญาณ จึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ไม่สามารถล่องลอยได้ครับ ดังนั้น วิญญาณคือ จิต จิตมาจากไหน จิต เพราะอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะอาศัยสภาพธรรมหลายๆ อย่าง เช่น อาศัยเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน ร่วมกัน จึงเกิดขึ้น และอาศัยที่เกิดของจิต คือ วัตถุ ๖ ประการ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยรูป จึงทำให้จิตเกิดขึ้น ดังนั้น วิญญาณ หรือ จิต ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการจึงเกิด วิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้นตามที่กล่าวมา ไม่มีใครบันดาล หรือ สร้าง จิต หรือ วิญญาณ แต่อาศัย ธรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้นครับ และอีกนัยหนึ่ง วิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้นได้ และยังมีปัจัยให้ เกิดวิญญาณ หรือ จิต เกิดดับสืบต่อไป ไม่ขาดสาย ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ เพราะ มีกิเลส มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ เมื่อมีความไม่รู้ ก็มีการทำกรรม ที่เป็นกรรมดี และไม่ดี เมื่อมีการ ทำกรรมดี และไม่ดี ก็มีการให้ผลของกรรม ทำให้เกิด จิต เจตสิก เกิด วิญญาณ คือ จิต ประเภทต่างๆ เกิดขึ้น วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ อาศัย อวิชชา คือความไม่รู้นั่นเองครับ ดังนั้น กำเนิดของวิญญาณ คือ จิต จึงไม่พ้นจาก อวิชชาความไม่รู้ ครับ
ส่วนจุดเริ่มต้นของ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็น วิญญาณ คือ จิต รวมถึงเจตสิก หาเบื้องต้นไม่ได้ เพราะสังสารวัฏฏ์หาที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ครับ ด้วยความ ยาวนานของสังสารวัฏฏ์ครับ แต่สรุปได้ว่า เพราะมีเบื้องต้น คือ อวิชชา ความไม่รู้ จึงมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมต่างๆ ครับ
ผู้ที่จะไม่มีวิญญาณ คือ ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต อีก รวมทั้งสภาพธรรมอื่นๆ ไม่เกิดอีกเลย คือ ผู้ที่อบรมปัญญา ละอวิชชา ละต้นเหตุแห่งการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูป เมื่อละอวิชชา ละกิเลสได้เด็ดขาด ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นดับไปที่เป็นสังสารวัฏฏ์ ไม่มีการท่องเที่ยวไปของจิต เจตสิก หรือ ที่สมมติว่ามีสัตว์ บุคคล เวียนว่ายตายเกิดอีกครับ ด้วยการดับกิเลสหมดสิ้น โดยการอบรมปัญญา ซึ่งก็เริ่มจาก การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม แปลตามศัพท์ได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้ง (ซึ่งอารมณ์) เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ กับ จิต เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะหลายประการที่หมายถึงจิต เช่น มนะ หทยะ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิต ไม่ปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว) หนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้น จิต กับวิญญาณ จึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น
ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือ จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิต เกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ปฏิสนธิจิต ก็คือ จิต ประเภทหนึ่งนั่นเอง จะเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ ก็ได้ เมื่อจุติจิตของชาติที่แล้วเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะต่อไปที่จะเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลย ก็คือ ปฏิสนธิจิต ในภพใหม่ชาติใหม่ จิตขณะแรกในแต่ละภพในแต่ละชาติ ก็คือ ปฏิสนธิจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่สืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว
การที่จะเกิดเป็นอะไรในภพไหน นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เป็นเพราะยังมีเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชาและตัณหา นั่นเอง จนกว่าจะเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ดับอวิชชาและตัณหาได้อย่างหมดสิ้น เป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย สังสารวัฏฏ์เป็นอันสิ้นสุด หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายอวิชชา และกิเลสทั้งหลายทั้งปวงให้เบาบางลงได้ คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...