ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [2]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นวันแรก
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เปิดให้มีการสนทนาธรรม ตามปรกติ
ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ หลังจากที่ได้หยุดไปเนื่องจากท่านอาจารย์และคณะฯ
เดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย เมื่อต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔
และ ปิดต่อเนื่องมาโดยตลอดจนถึงวันนี้ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา
การสนทนาธรรมในวันแรกนี้ จึงมีความหมายสำหรับทุกคน ที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอด
ตอนหนึ่งของความประทับใจ ความซาบซึ้งในหทัยของข้าพเจ้าและทุกๆ ท่านในวันนี้
เริ่มขึ้นเมื่อท่านอาจารย์เข้าร่วมสนทนา ในช่วงที่สองของการสนทนาพระสูตร ช่วงเช้า
อาจารย์สวนิต ยมาภัย ท่านขออนุญาตท่านอาจารย์ นำเสนอ "มโนปณิธาน"
ที่ท่านกล่าวเกริ่นนำ ความโดยสรุปว่า เมื่อก่อนสิ้นเดือนธันวาคม ท่านได้โทรศัพท์
มาสอบถามทางมูลนิธิฯว่าจะเปิดการสนทนาธรรมเมื่อใด บังเอิญได้สนทนากับคุณคำปั่น
และคุณคำปั่นได้กล่าวว่า รอที่จะฟังบทกวีของท่านอยู่ อาจารย์สวนิตจึงกล่าวว่า
ท่านเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยรังสิต สถานที่ที่ท่านทำงานมานาน ได้เห็นภาพ
ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้แล้วรู้สึกหดหู่ น่าเศร้าใจ
น่าสลดใจมาก เพราะน้ำท่วมสูงเหลือเกิน ก็คิดว่าไม่สามารถจะแต่งบทกวีอะไรได้
แต่ในเย็นวันนั้น หลังจากที่ได้เปิดฟังธรรมจากท่านอาจารย์ตามปรกติ
มีตอนหนึ่งที่อาจารย์อุไรวรรณ เนาวรุจิ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
ความสุขโสมนัสของท่านอาจารย์ เกิดจากอะไร เมื่อไหร่
ท่านอาจารย์ก็ตอบอย่างเรียบง่ายว่า
ความโสมนัสของท่านเกิดเมื่อรู้ว่าได้ทำประโยชน์ในทางธรรมให้แก่ผู้อื่น
ซึ่งเป็นประโยคที่จับใจท่านมาก
จึงเกิดแรงบันดาลใจให้ท่านเขียนบทกวีขึ้นจำนวน ๕ บทด้วยกัน
เมื่อได้มาทบทวนในภายหลัง จึงเห็นว่า เป็นปณิธานอะไรบางอย่างของตนเอง
หากท่านอาจารย์ได้ยินคงจะโสมนัส ท่านจึงอ่าน "มโนปณิธาน" นั้น
ก่อนการสนทนาธรรมจะมีขึ้น ดังนี้
ภัยน้ำน่าสลดแท้ เทียวหนอ
ทลายทั่วมิรั้งรอ ท่วมท้น
ก่อพิษฤทธิ์แรงพอ ผลาญชีพ
สุดเลี่ยงสุดหลีกพ้น สุดเศร้าเหลือแสน
บ่แม้นกาลก่อนโน้น เคยขาน
คำเพราะเสนาะสนิทมาน เพื่อนพ้อง
วันนี้ใช่เช่นวาร วันเก่า
คงแต่เจตน์จักต้อง ต่อตั้งปณิธาน
แต่นี้นานจักน้อม สดับธรรม
อันท่านอาจารย์นำ แนะให้
มนสิการะโดยสำ- เหนียกแน่ว
พูนเพิ่มปัญเญศไว้ ห่อนเว้นวางหาย
เพียรคลายความติดข้อง ขังจิต
ตามไตร่ตรองพินิจ เนื่องไว้
ทุกขณะจะมิคิด ขาดใคร่ครวญเฮย
เทอดทุกอนุสาสน์ไซร้ ถี่ถ้วนทุกคำ
มิทำอัตภาพให้ เมินเฉย
เจริญจิตมิละเลย ระลึกรู้
สารสาสน์ท่านเฉลย ฉลาดรอบ
แสนยากหากหาญสู้ จวบแจ้งสัจสาร
หลังจากนั้น ท่านได้แต่งบทสรุปอีกบทหนึ่ง ที่ท่านกล่าวว่า คือบทสรุป ที่ได้มาจาก
การฟังคำสอนของท่านอาจารย์มานานหลายปี ซึ่งมีดังต่อไปนี้....
ภัยพาลฤาจาบจ้วง จากหน ไหนเฮย
โลภะละวางจน หมดสิ้น
มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่
แม้โศกปลายปีกริ้น ห่อนได้หลงเหลือ
"....เป็นอุปมานะครับ ความโศกแค่ปลายปีก ริ้น ห่อนได้หลงเหลือ
เรียนเชิญท่านอาจารย์ครับ..."
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่เราได้พบกัน
และก็มีโอกาสได้ปีติ อนุโมทนา ในความเข้าใจธรรมะ ของผู้ที่ได้ฟังธรรมะ มานาน
จนกระทั่ง ท่านสามารถที่จะ ตั้งปณิธาน ในชาตินี้
เพราะเหตุว่า เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ นะคะ เพราะว่า
ขณะนี้ ก็เป็นเพียง ณ กาลครั้งหนึ่ง ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว ก็เป็นอดีต
ทันทีที่จบ ก็เป็นอดีตไปแล้ว
แต่ว่า สิ่งที่สะสมไว้ ไม่ใช่แต่เฉพาะวันนี้
แม้ในกาละก่อนๆ ที่ได้ผ่านมาแล้ว ก็ได้สะสม จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เกิด ปีติยินดี
ในความเข้าใจธรรมะ ของบุคคล ที่มีความตั้งใจ มั่นคง ที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป
ก็เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่า แต่ละคน
ก็จะได้ เข้าใจชีวิต แต่ละหนึ่ง ตามความเป็นจริง
เพราะว่าชีวิต ของคุณสวนิต ก็มีการสะสมมา ที่สามารถที่จะประพันธ์
สิ่งที่ทำให้คนอื่นเข้าใจละเอียดขึ้น เช่น แม้เพียงโศกเท่าปีก ริ้น ใช่ไม๊คะ? ปีกตัวริ้น
เพราะฉะนั้น ต้องอ่านเอง ถึงจะทราบว่า ความประสงค์ของผู้เขียน
จากใจของใครก็ของคนนั้น เพราะฉะนั้น จะเห็นคุณค่าของพระธรรม
ว่า ในระหว่างที่ทุกคน อยู่ท่ามกลางความโศกเศร้า
แต่เมื่อใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้น ไม่โศกเศร้า ตามที่ควรจะเป็น
เพราะเหตุว่า ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงในขณะนั้น
ก็เป็นการอบรม เจริญปัญญา
ที่จะ เป็นผู้ตรง ที่จะเข้าใจพระธรรม คือ สิ่งที่มี ในขณะนี้
ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่มาถึง
เพราะว่า ปรกติ ใครเลย ที่จะอดคิดถึงอดีต และ อนาคต
แต่ว่า ขณะใดก็ตามที่ "คิด"
ไม่ใช่ความเข้าใจลักษณะของธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
พระธรรมทั้งหมด ๔๕ พรรษา ไม่ว่าจะฟังข้อความประทับใจใดๆ
ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
ไม่ให้ห่างไปจากความจริงของธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
จะช้า จะเร็ว จะมาก จะน้อย
แต่จุดประสงค์ ก็เพื่อเข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ
เป็นปัญญา ที่ได้รับจากการฟัง การไตร่ตรอง การพิจารณา การอบรม
จะเห็นประโยชน์สูงสุด ของปัญญา
ที่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นธรรมะ
ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า ธรรมะ
แต่ ภาษาไทยก็คือ ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะเห็นได้ว่า
จะต้องอบรม ความรู้ถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มากสักแค่ไหน?
ที่จะรู้ว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
แล้วก็ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย
เพราะฉะนั้น
ฟัง เพื่อ ละความไม่รู้ และ ความสงสัย
ตั้งจิตไว้ชอบ
ด้วยการฟัง ไตร่ตรอง สภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
เพราะเหตุว่า
ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวถึงธรรมะ หมายความถึง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ที่สามารถที่จะเข้าใจ ตามที่ได้ฟัง ถูกต้องทุกประการ
ก็เป็นเรื่อง ที่จะต้องฟังต่อไป
เพราะ...นี่เป็นเพียง...
ณ กาลครั้งหนึ่ง
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอความเจริญมั่นคงในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน
กราบอนุโมทนาในกศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าในเมตตาจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้
และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาและกราบเท้าบูชาคุณท่าอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ครับ
รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางมูลนิธิฯ เปิดสนทนาธรรมตามปกติ
ขอความเจริญในธรรมมีแก่สหายธรรมทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านครับ
ขอกราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ...ผู้ที่เป็นผู้จุดโคมประทีปส่องนำทางธรรมให้สว่างไสว ฯ
และขอขอบคุณ คุณวันชัย ภู่งาม ที่ได้มอบสิ่งดีๆ มาประดับจิตให้เกิดความผ่องใส เบิกบานไปในพระธรรมด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณคุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
.....เพราะฉะนั้น จะเห็นคุณค่าของพระธรรม นะคะ
ว่า ในระหว่างที่ทุกคน อยู่ท่ามกลางความโศกเศร้า
แต่เมื่อใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้น ไม่โศกเศร้า ตามที่ควรจะเป็น
เพราะเหตุว่า ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงในขณะนั้น
ก็เป็นการอบรม เจริญปัญญา
ที่จะ เป็นผู้ตรง ที่จะเข้าใจพระธรรม คือ สิ่งที่มี ในขณะนี้
ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่มาถึง
...กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ภัยพาลฤาจาบจ้วง จากหนไหนเฮย
โลภะละวางจน หมดสิ้น
มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่
แม้โศกปลายปีกริ้น ห่อนได้หลงเหลือ
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์สวนิต ยมาภัย อาจารย์เก่าของกระผม สมัยที่ท่าน
ยังหนุ่นแน่นอยู่ เห็นภาพท่านแล้วระลึกถึงความหลัง-ความรู้ที่ท่านประสิทธิ์ประสาทให้
มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่ น่าจะพิมพ์ผิดนะครับ เพราะคำว่า หวัง อยู่ในตำแหน่ง
คำเอก หรือใช้คำตายแทน หวัง เป็นคำสุภาพ (หมายถึงไม่มีวรรณยุกต์กำกับ) คำที่ท่าน
อาจารย์สวนิตแต่งน่าจะเป็น มิหวังวาดวังวน เวียนอยู่
อ้อ ! ภัยพาลฤาจาบจ้วง คำว่า ฤา ต้องเป็น ฤๅ (ตัว รือ หรือสระอาหางยาว
ครับ) ตรวจกับลายมือท่านอาจารย์สวนิตอีกทีนะครับ ท่านอาจารย์ของกระผมคงไม่เขียน
ผิด
ควรมิควรประการใด กราบขออภัยท่านอาจารย์สวนิตด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ ๑๒ ครับ
ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบจากเทปแล้ว ข้อความ "มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่"
ถูกต้องตรงตามที่ท่านแต่งและอ่านเอง ในที่สนทนาธรมในวันนั้นแล้วครับ
และ เมื่อได้พบท่านที่เชียงใหม่ เมื่อ ๑๑ มกราคมที่ผ่านมา
คุณคำปั่นได้เรียนถามถึงข้อความดังกล่าวอีกครั้ง ท่านกล่าวว่าคงเพราะท่านรีบร้อน
แต่งบทนี้เพิ่มเติมในวันนั้น ท่านจึงแก้ใหม่เป็น
"มิหวังวุ่นวังวน เวียนอยู่"
ขอขอบพระคุณที่กรุณาท้วงติงมา และ หวังว่าจะได้รับความอนุเคราะห์อีกต่อไปนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ฯ และทุกๆ ท่านค่ะ
...สาธุ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิต
ของท่านอาจารย์สุจินต์ คุณสวนิต คุณวันชัยและทุกท่านค่ะ
ภัยพาลฤาจาบจ้วง จากหนไหนเฮย
โลภะละวางจน หมดสิ้น
มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่
แม้โศกปลายปีกริ้น ห่อนได้หลงเหลือ
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์สวนิต ยมาภัย อาจารย์เก่าของกระผม สมัยที่ท่าน
ยังหนุ่นแน่นอยู่ เห็นภาพท่านแล้วระลึกถึงความหลัง-ความรู้ที่ท่านประสิทธิ์ประสาทให้
มิวาดหวังวังวน เวียนอยู่ น่าจะพิมพ์ผิดนะครับ เพราะคำว่า หวัง อยู่ในตำแหน่ง
คำเอก หรือใช้คำตายแทน หวัง เป็นคำสุภาพ (หมายถึงไม่มีวรรณยุกต์กำกับ) คำที่ท่าน
อาจารย์สวนิตแต่งน่าจะเป็น มิหวังวาดวังวน เวียนอยู่
อ้อ ! ภัยพาลฤาจาบจ้วง คำว่า ฤา ต้องเป็น ฤๅ (ตัว รือ หรือสระอาหางยาว
ครับ) ตรวจกับลายมือท่านอาจารย์สวนิตอีกทีนะครับ ท่านอาจารย์ของกระผมคงไม่เขียน
ผิด
ควรมิควรประการใด กราบขออภัยท่านอาจารย์สวนิตด้วยครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๑๒ ครับ ช่วงที่เดินทางไปสนทนาธรรมที่โครงการหลวง ดอยอินทนนท์ จ. เชียงใหม่ อ.สวนิตยมาภัย ก็ได้เดินทางไปร่วมสนทนาธรรมด้วย ผมก็ได้เรียนท่านว่า นาวาเอกทองย้อยได้กล่าวถึงโคลงสี่สุภาพ "มโนปณิธาน" ของ อ.สวนิต ในบทสุดท้าย ตามที่ท่านได้กล่าวถึง อ. สวนิต ขอขอบคุณท่านนาวาเอกทองย้อย เป็นอย่างยิ่ง และ อ. สวนิตได้กล่าวบท "มโนปณิธาน" อีกครั้งหนึ่งในคืนวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ในที่ประชุมของอาคารในโครงการหลวง ดอยอินทนนท์ได้รับฟัง โดยขอแก้ไขบทสรุป เป็นดังนี้ ครับ
ภัยพาลฤๅจาบจ้วง จากหนไหนเฮย
โลภะละวางจน หมดสิ้น
มิหวังวุ่นวังวน เวียนอยู่
แม้โศกปลายปีก ริ้น ห่อนได้หลงเหลือ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เอ่อม...ท่านคำปั่นค่ะ "โคลงสี่สุภาพ" สะกดแบบนี้นะคะ เดี๋ยวท่านทองย้อยจะเคือง ;D
เอ่อม...ท่านคำปั่นค่ะ "โคลงสี่สุภาพ" สะกดแบบนี้นะคะ เดี๋ยวท่านทองย้อยจะเคือง ;D
ขอบพระคุณพี่ไตรสรณคมน์ มากนะครับ ผมพิมพ์ผิดจริงๆ ครับ ได้แก้ไขแล้วครับ