บังคับบัญชาไม่ได้
ขอความกรุณาช่วยแก้ความเข้าใจธรรมะตรงนี้หน่อยครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา - บังคับบัญชาไม่ได้ เราจะเจริญสติอบรมปัญญาได้อย่างไร ในเมื่อการเจริญสติอบรมปัญญานั่นเองก็บังคับบัญชาไม่ได้เสียแล้ว เราปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง สติจึงเจริญ และปัญญาจึงคมกล้า การปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นจะเรียกว่าอะไร ถ้าไม่ใช่การบังคับบัญชาในลักษณะหนึ่งนั่นเอง ถึงเราจะบังคับให้สติเจริญไม่ได้ บังคับให้ปัญญาคมกล้าไม่ได้ แต่เราก็ต้องทำเหตุอะไร อย่างหนึ่ง สติจึงเจริญ ปัญญาจึงคมกล้า ในเมื่อการทำเหตุอันนั้นนั่นแหละก็บังคับบัญชาไม่ได้มาตั้งแต่ต้น แล้วผลจะเกิดได้อย่างไร
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนามา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง หมายความว่า เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ พระองค์ทรงแสดงธรรมไปตามความเป็นจริง ว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะความหมายของอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ ปฏิเสธต่ออัตตาอย่างสิ้นเชิง ความจริงเป็นอย่างนี้
ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ธรรมะอะไรเกิดขึ้นได้เลย บังคับให้เห็นก็ไม่ได้ เพราะเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยจัยหลายอย่าง เช่น มีกรรมเป็นปัจจัย มีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น แม้แต่ปัญญา เอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดได้ ต้องอาศัยเหตุหลายอย่างหลายประการด้วยกัน ต้องมีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษา เพราะเคยเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงมาแล้ว จึงทำให้เป็นผู้ที่สนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง จึงฟัง จึงศึกษา เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ปัญญาย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ โดยไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดเลย แต่เกิดขึ้นเพราะเหตปัจจัยจริงๆ แต่การใช้คำพูดในการสื่อสาร ก็อาจจะพูดว่า สร้างเหตุ หรือ เจริญเหตุ หรือ ทำเหตุ เป็นต้น โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธโวหารของชาวโลก ก็ขอให้เข้าใจว่า ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครเจริญ ไม่มีใครทำ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่มีจริง
สำหรับประเด็นในเรื่องของปฏิบัติธรรม ก็ไม่ใช่ตัวตนที่ไปทำปฏิบัติหรือไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมา เมื่อกล่าวถึง ปฏิบัติธรรม แล้ว ต้องมีธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างแน่นอน นั่นก็คือ สภาพธรรมฝ่ายดี คือ สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมและปัญญา รู้สภาพธรรมะที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนั้น เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนั้น ตามความเป็นจริง ตรงตามที่ได้ฟังได้ศึกษา ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขั้นของปริยัติแล้วทุกประการ จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครที่ไปทำอะไรได้เลย แต่เป็นธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้น เท่านั้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลย และที่สำคัญ ธรรม เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน (อนัตตา) ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ที่กล่าวว่า "บังคับบัญชาไม่ได้แล้วเราจะเจริญสติได้อย่างไร"
เพราะ "ไม่มีเรา" ที่เจริญสติค่ะ แต่เป็นเรื่องของสติที่เจริญขึ้น ตามการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ (เจตสิกฝ่ายดี) ซึ่งโดยธรรมชาติของจิตแล้ว เป็นสภาพที่สั่งสม (ด้วยสามารถแห่งชวนวิถี) ทั้งธรรมะฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี การอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นการเสพธรรมะฝ่ายดีด้วยกุศลชวนะ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการฟังธรรมะหรือคบหาสัตบุรุษ เพราะการเสพคุ้นกับกุศลธรรมเท่านั้นที่ทำให้กุศลธรรมถึงความเจริญ โดยเฉพาะกุศลธรรมที่ประกอบด้วยปัญญา จากที่รู้ผิด ... ก็รู้ถูก จากที่ไม่เคยเข้าใจ ... ก็เข้าใจขึ้น ทั้งหมดสั่งสมอยู่ในจิตไม่สูญหาย นอกเสียจากว่าผู้นั้นบ่ายหน้าจากธรรมสัญญาแล้วคบหาธรรมะฝ่ายเลว จึงเป็นเรื่องของธรรมะล้วนๆ ที่มีการสั่งสมและปรุงแต่งตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีเราค่ะ