สงสัยมานานแล้วครับ - อวดอุตริมนุษยธรรมหรือไม่

 
ลุงหมาน
วันที่  24 ม.ค. 2555
หมายเลข  20430
อ่าน  2,274

ปุถุชฺชโน นชานาติ โสตาปนฺนสฺส มานสํ

โสตาปนฺโน นชานาติ สกทาคามิสฺส มานสํ

สกทาคามี นชานาติ อนาคามิสฺส มานสํ

อนาคามี นชานาติ อรหนฺตสฺส มานสํ

เหฏฺฐิโม เหฏฺฐิโม เนว ชานาติ อุปรูปริ

อุปรูปริ ชานาติ เหฏฺฐิมสฺส จ มานสํ

แปลความว่า

ปุถุชนย่อมไม่รู้ จิตของพระโสดาบัน

พระโสดาบันย่อมไม่รู้ จิตของพระสกทาคามี

พระสกทาคามีย่อมไม่รู้ จิตของพระอนาคามี

พระอนาคามีย่อมไม่รู้ จิตของพระอรหันต์

บุคคลชั้นต่ำย่อมไม่รู้ จิตของบุคคลชั้นสูงๆ

บุคคลชั้นสูงๆ นั้นย่อมรู้ จิตของบุคคลชั้นต่ำๆ

ได้อ่านพบในคัมภีร์มหาปัฏฐานหน้า ๔๐ ของ พระสัทธรรมโชติกะ ธัมมาจริยะ ท่านเป็นผู้รจนาไว้ แต่มิได้อธิบายดังที่ผมสงสัยดังนี้ ว่า

ถ้าหากว่าภิกษุผู้กล่าวว่าผู้นั้น เป็นพระอริยะบุคคลอันมีพระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์เป็นต้น เพื่อยกย่องผู้นั้นทั้งที่ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติจริงหรือไม่มีจริงก็แล้วแต่ๆ ว่าภิกษุผู้ที่กล่าวเช่นนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ เมื่อกล่าวอย่างนี้ภิกษุผู้นั้นจะเป็นการอวดอ้างตนเป็นอุตริมนุษยธรรมหรือไม่ครับ ที่เป็นผู้รู้เทียบได้เช่นนั้น

และหากว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเหมือนกันแต่เป็นฆารวาสจะมีโทษเช่นใดหรือไม่มีโทษครับอันนี้ได้ยินมามากเลยครับ อ. ช่วยขยายความแก้ความสงสัยด้วย

ขอบคุณไว้ล่วงหน้าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำกล่าวของผู้ถามที่ว่า

ปุถุชนย่อมไม่รู้ จิตของพระโสดาบัน

พระโสดาบันย่อมไม่รู้ จิตของพระสกทาคามี

พระสกทาคามีย่อมไม่รู้ จิตของพระอนาคามี

พระอนาคามีย่อมไม่รู้ จิตของพระอรหันต์

บุคคลชั้นต่ำย่อมไม่รู้ จิตของบุคคลชั้นสูงๆ

บุคคลชั้นสูงๆ นั้นย่อมรู้ จิตของบุคคลชั้นต่ำๆ


จากข้อความในพระไตรปิฎก และ อรรถกถา อธิบายข้อความนี้ไว้ครับว่า ปุถุชนด้วยกัน ที่ไม่ได้ฌาน ไม่มีเจโตปริยญาณ ก็ไม่สามารถรู้จิตของปุถุชนด้วยกันได้จริงๆ ตามความเป็นจริง แต่ปุถุชนผู้ที่ได้ฌานสูงสุด ได้ เจโตปริยญาณ ย่อมสามารถรู้จิตของ ปุถุชนด้วยกันได้ แต่ ไม่สามารถรู้จิตของพระโสดาบันได้ พระอริยเจ้าด้วยกัน พระอริยเจ้าขั้นต่ำ ก็ไม่สามารถรู้จิตของพระอริยเจ้าขั้นที่สูงกว่า เช่น พระโสดาบัน ไม่สามารถรู้จิตของพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ไ ด้ ส่วน พระอริยบุคคลที่สูงกว่า หรือ เสมอกัน กับพระอริยบุคคล ย่อมสามารถรู้จิตของพระอริยบุคคลที่ต่ำกว่า หรือ เสมอกันได้ แต่นัยนี้ พระอริยเจ้าที่จะรู้จิตของผู้อื่นตามความเป็นจริงได้ เหล่านั้น จะต้องได้ฌาน เข้าเจโตปริยญาณได้ด้วยครับ

เชิญคลิกอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกที่นี่ครับ

รู้จิตของผู้อื่น [ปาฏิกวรรค]

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 24 ม.ค. 2555

และจากคำกล่าวที่ว่า

ได้อ่านพบในคัมภีร์มหาปัฏฐานหน้า ๔๐ ของ พระสัทธรรมโชติกะ ธัมมาจริยะ ท่าน เป็นผู้รจนาไว้ แต่มิได้อธิบายดังที่ผมสงสัยดังนี้ ว่าถ้าหากว่าภิกษุผู้กล่าวว่าผู้นั้น เป็น พระอริยะบุคคลอันมีพระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์เป็นต้น เพื่อยกย่องผู้นั้นทั้งที่ผู้นั้น เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติจริงหรือไม่มีจริงก็แล้วแต่ๆ ว่าภิกษุผู้ที่กล่าวเช่นนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ เมื่อกล่าวอย่างนี้ภิกษุผู้นั้นจะเป็นการอวดอ้างตนเป็นอุตริมนุสธรรมหรือไม่ครับ ที่เป็นผู้รู้เทียบได้เช่นนั้น และหากว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเหมือนกันแต่เป็นฆารวาส จะมีโทษเช่นใดหรือไม่ มีโทษครับ อันนี้ได้ยินมามากเลยครับ อ. ช่วยขยายความแก้ความสงสัยด้วย

ขอบคุณไว้ล่วงหน้าครับ


ซึ่งจากคำถาม พอสรุปได้ว่า ผู้ถาม ถามว่า หากว่ามีภิกษุ หรือ ใครก็ตาม กล่าวว่า ภิกษุรูปอื่น หรือ คนนั้น เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ด้วยการยกย่อง ซึ่งในความเป็นจริง ภิกษุรูปอื่น หรือ คนนั้น อาจจะเป็น หรือ ไม่เป็นพระอริยเจ้าก็ได้ จะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม หรือ ไม่

ก่อนอื่นก็เข้าใจ คำว่า อวดอุตริมนุสธรรม ว่าคืออะไรก่อนครับ

อวดอุตริมนุสธรรม หมายความว่า อวดคุณที่เหนือมนุษย์ (ฌาน การบรรลุธรรม) อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง เช่น อวดว่าตนเองได้ฌาน วิโมกข์ สมาบัติ ได้เป็นพระอริยเจ้าขั้นต่างๆ

จะเห็นนะครับว่า อวดอุตริมนุสธรรม นั้น มีเจตนา กล่าวคำที่ไม่จริง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ ว่าตนไม่มีคุณธรรมนั้น แต่ก็กล่าวว่าตนเองมีคุณธรรมนั้น ด้วยการพูดโดยลักษณะต่างๆ

อย่างกรณีที่ยกมานั้น ผู้ที่เป็นภิกษุ หรือ ใครก็ตาม ยกย่องผู้อื่น จะเห็นนะครับว่า ยกย่องผู้อื่น ไม่ได้กล่าวคุณของตนเอง หากแต่ว่ามีเจตนายกย่องผู้อื่น ว่าเป็นพระอริยเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นหรือไม่เป็นก็ได้ ก็เดาเอาตามความคิดของปุถุชน เพราะปุถุชนไม่สามารถรู้ได้อยู่แล้วว่าเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ การยกย่องผู้อื่น ไม่ได้กล่าวคุณของตนเองที่ไม่มีในตน จึงไม่เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เพราะไม่ได้มีเจตนากล่าวคุณของตนที่ไม่มีในตนครับ แต่กล่าวยกย่องผู้อื่นด้วยความไม่รู้ สำคัญผิด ตามความคิดนึกของตนเองครับ

ดังนั้น สำคัญที่เจตนา ว่า มีเจตนากล่าวคุณของตน ไม่ใช่คุณของคนอื่น ถึงจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 24 ม.ค. 2555

และอีกนัยหนึ่ง คือ กล่าวคำเดียวกัน แต่กล่าวก่อนว่า ผู้ที่รู้จิตของผู้อื่นได้ ย่อมเป็นผู้ที่ได้ฌาน และได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า กล่าวขึ้นอย่างนี้ให้ผู้อื่นรู้ก่อน แล้วจึงกล่าวต่อมาว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน ท่านผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าขั้นนั้น ขั้นนี้ ด้วยเจตนา อวดคุณของตนเองว่าตนเองได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว เพราะสามารถแสดงได้ว่า ผู้นี้ เป็นพระอริยเจ้า ผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้า

จะเห็นนะครับว่า กรณีนี้ มีเจตนาอวดคุณของตนเอง ที่ไม่มีในตน คือ ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่อวดว่าตนรู้จิตของผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจผิดว่า ตนเป็นพระอริยเจ้า โดยการกล่าวก่อนว่ า ผู้ที่รู้จิตผู้อื่นย่อมเป็นพระอริยเจ้า เป็นต้น เมื่อมีเจตนาอวดคุณที่ไม่มีจริง โดยการกล่าวยกย่องผู้อื่น บอกว่าผู้นี้เป็น พระอริยเจ้า ก็เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม หากเป็นพระภิกษุ ต้องขาดจากความเป็น พระ เพราะต้องอาบัติปาราชิก ครับ

ซึ่งทั้งสองกรณีที่กล่าวมา คือ ไม่เป็นอุตริมนุสธรรม เพราะ ไม่มีเจตนาอวดคุณ ของตนเอง แต่กล่าวยกย่องเพราะสำคัญผิด สำหรับพระภิกษุ ก็มีโทษ คือ สะสมความเข้าใจผิด และสะสมความไม่รู้มากขึ้น แต่ไม่ขาดจากความเป็นพระ ส่วนฆราวาสที่ กล่าวยกย่อง ด้วยความไม่รู้ ก็สะสมความเข้าใจผิด และสะสมคามเห็นผิดมากขึ้นได้ เพราะทำให้ไปเสพคุ้นในสิ่งที่ตนไม่รู้และไม่จริงนั่นเองครับ ก็มีโทษเช่นกัน

ส่วนหากเป็นกรณีที่สอง คือ มีการอวดอุตริมนุสธรรม ก็มีโทษสำหรับพระภิกษุ คือ ขาดจากเพศบรรพชิต ส่วนฆราวาสที่อวดคุณ ไม่มีโทษที่ขาดจากความเป็นพระ เพราะไม่ใช่พระ แต่สะสมโลภะ ความปรารถนาลามก ที่มักมาก ต้องการลาภ สักการะ ก็ทำให้เดินทางผิด เพราะจุดประสงค์ไม่ถูกต้องในการศึกษา ก็ทำให้พลาด ไม่ได้ประโยชน์จากการศึกษาธรรม แต่ได้รับโทษ คือ สะสมอกุศลมากขึ้น และไม่มีทางหลุดพ้นได้ เพราะเดินทางผิด จุดประสงค์ผิดครับ และย่อมได้รับโทษจกาการพูดไม่จริง มี นรก เป็นต้นได้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 24 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 24 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นปุถุชนมีโทษมากจริงๆ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรได้เลย เมื่อสะสมมากขึ้นๆ ก็สามารถกระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ แม้เป็นอกุศลกรรมที่หนัก ก็ยังทำได้ อย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นหนักถึงอย่างนั้นไปได้ นี้ก็เพราะกิเลสที่ได้สะสมมา โดยที่ไม่ได้รับการขัดเกลา จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมนั่นเอง

ความประพฤติที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม ก็เป็นเพราะไม่ได้คล้อยไปตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั่นเอง ถึงขนาดว่าตนเองไม่ได้เป็นอริยบุคคล ไม่ได้มีคุณวิเศษใดๆ เลย ก็ยังกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นพระอริยบุคคล ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสว่ามีมากทีเดียว สำหรับเพศพระภิกษุ ผู้ที่อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ย่อมขาดจากความเป็นพระภิกษุ ไม่มีความเจริญในพระธรรมวินัย แต่ถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็ได้กระทำอกุศลกรรม สะสมเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเองต่อไป ยากที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ เมื่อหนักไปด้วยกิเลส ก็ทำให้จมลงในอบายภูมิ ตามสมควรแก่อกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 24 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ลุงหมาน
วันที่ 25 ม.ค. 2555

ดังเช่นท่าน อ. ทั้งหลายกล่าวเช่นนั้นเข้าใจครับ ขอบคุณครับ

ก็เพราะเห็นว่ามีการกล่าวกันบ่อยมาก ที่พระภิกษุที่กล่าวอ้างว่าหลวงพ่อรูปนั้นองค์นี้เป็น พระอรหันต์ดังนี้ ทั้งที่พระภิกษุรูปนั้นก็มิได้มีอะไรในตนเลย อย่างนี้แล้วอวดอ้างไปรู้ว่า หลวงพ่อรูปนั้นรูปนี้เป็นถึงพระอรหันต์ ถ้าพระภิกษุที่กล่าวอ้างว่าหลวงพ่อรูปนั้นเป็นพระ อริยเจ้า ทั้งๆ ที่หลวงพ่อรูปนั้นเป็นจริงก็ได้ไม่เป็นจริงก็ได้ แต่ปัญหาคือว่าภิกษุผู้พูดนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่อรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ การพูดเช่นนั้นก็จะเข้าข่ายอวดตนด้วย ว่าตนเองก็เป็นพระอรหันต์ด้วยได้เช่นกัน เพราะว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็จะรู้ผู้ที่เป็นพระ อรหันต์ได้เท่านั้น คือพระอริยะเบื้องต่ำก็จะไม่รู้พระอริยะเบื้องบน เท่าที่ อ. อธิบายมานั้น เป็นการที่ผู้กล่าวขาดเจตนาที่จะอวดตนนั้นเอง

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ