ทำไมเดี๋ยวนี้มีเจ้าลัทธิมากมาย

 
jojojo
วันที่  27 ม.ค. 2555
หมายเลข  20445
อ่าน  1,382

ทำไมเดี๋ยวนี้มีเจ้าลัทธิมากมาย ซึ่งเราก็เห็นว่าเค้าทำไม่ถูก เข้าข่ายทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นบาปกรรมหนัก ทำไมคนพวกนี้จึงเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม ทำให้คนในสังคมคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนตามที่เค้ากล่าวอ้าง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่ายุคสมัยใด สัตว์โลกโดยมาก เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความไม่รู้ อวิชชา และเต็มไปด้วยความเห็นผิด น้ำย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำฉันใด ใจของสัตว์โลกที่เต็มไปด้วย กิเลสก็ย่อมไหลไปตามกิเลส มีความเห็นผิด เป็นต้นได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาผ่านไป สองพันห้าร้อยกว่าปี หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติและปรินิพพานไป สมัยนั้น สัมมาทิฏฐิ รุ่งเรือง ความเห็นถูกเจริญ ความเห็นผิด แม้ในสมัยนั้นจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้รับการสรรเสริญและนับถือ เพราะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมที่ถูกต้องและมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมเป็นจำนวนมาก อันเป็นกาลสมบัติ คือ เวลาที่ความเห็นถูกเจริญ เพราะมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมมากมายนั่นเอง

ดังนั้น ช่วงเวลานั้น ผู้ที่มีปัญญาเกิดกันมากในสมัยนั้น แต่มาปัจจุบัน เวลาผ่านไป นานสองพันห้าร้อยกว่าปี พระพุทธเจ้าได้แสดงพระธรรมว่า พระธรรมของเราจะค่อยๆ เสื่อมไปตามกาลเวลา เพราะพระพุทธบริษัท ไม่เข้าใจพระธรรม ไม่เข้าใจในคำสอนของเรา เมื่อไม่เข้าใจคำสอน ก็ทำให้ไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพใน สิกขา คือ ข้อปฏิบัติที่ถูก ไม่เคารพในพระธรรมที่ถูกต้อง คือ ไม่เลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่ถูกต้อง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ พระศาสนาค่อยๆ อันตรธานไปจากใจของคน คือ ความเข้าใจในพระธรรมที่ถูกต้อง ค่อยๆ น้อยลงไป เป็นเหตุให้ มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด เจริญขึ้นตามลำดับ และตามที่ได้กล่าวแล้วว่า สัตว์โลกโดยมาก มากไปด้วยกิเลส คือ ความไม่รู้และความเห็นผิด เมื่อความเห็นถูกเสื่อมไป ความเห็นผิดเจริญ สัตว์โลกโดยมาก จึงไหลไปตามความเห็นผิดโดยง่าย เปรียบเหมือน น้ำที่ไหลไปสู่ที่ต่ำเป็นธรรมดา ดังนั้น ผู้ที่กล่าวธรรมที่ผิด เป็นความเห็นผิด ก็ย่อมได้รับการเลื่อมใสเป็นอันมาก และ มีความเห็นผิดที่เจริญขึ้นมาก ผู้ที่มีความเห็นผิด ก็มากขึ้นและได้รับการยกย่องเป็นธรรมดา ส่วนผู้ที่มีความเห็นถูก เป็นคนดี แสดงพระธรรมที่ถูกต้อง ก็ไม่ได้รับการเลื่อมใส ยกย่อง เป็นธรรมดาครับ

ดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ในความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ต่อไปในอนาคต เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว อธรรมจะรุ่งเรือง ธรรม จะเสื่อมถอย ความไม่ดี จะเจริญรุ่งเรือง ความดีจะเสื่อมถอย ภิกษุที่ดี มีคุณธรรม หรือ บุคคลที่มีความเห็นถูก จะไม่ได้รับการยกย่อง และไม่มีเสียง คือ ไม่มีอำนาจอีกต่อไป จะเป็นผู้นั่งนิ่ง เพราะ จะถูกภิกษุ หรือ คนไม่ดีที่มีมากกว่า คัดค้าน และ จะต้องหนีเข้าป่าไป ส่วนภิกษุไม่ดี หรือ บุคคลที่มีความเห็นผิด เป็นต้น ย่อมได้รับการสรรเสริญ มีอำนาจ เพราะสมัยนั้น ธรรม คือ ความไม่ดี รุ่งเรืองนั่นเองครับ

จะเห็นนะครับว่า ทุกอย่างเป็นธรรมดาของโลก ที่เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วก็ต้องต่ำลงมาเรื่อยเป็นธรรมดา เมื่อสัมมาทิฏฐิเจริญสูงสุด ก็ต้องกลับมาสู่ความเห็นผิดได้เป็นธรรมดา เพราะใจขอสัตว์โลกชุ่มไปด้วยกิเลสมากมายนั่นเองครับ ความเห็นผิด และ ผู้ที่แสดงความเห็นผิด จึงรุ่งเรืองในปัจจุบัน ตามเหตุผลที่กล่าวมาครับ เพราะฉะนั้น สำคัญ คือ รักษาใจของตนเอง ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ให้ความเห็นถูกเจริญในใจของตน เพราะ ปัญญาที่เกิดขึ้นนี่เอง ที่จะเป็นเครื่องเตือน และดำเนินชีวิตที่ถูก รู้ว่าสิ่งใดควรเสพ คบ ควรเลื่อมใส ไม่เลื่อมใส และไม่ประมาทในการเจริญกุศลของตนเอง และ ประพฤติต่อโลก ต่อผู้อื่นในทางสมควร และปัญญานี่เองที่จะเข้าใจถึงความเป็นไปของโลก ที่จะต้องไหลไปสู่ที่ต่ำและเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาขอใครเลยครับ จึงเข้าใจความเป็นธรรมดาในสิ่งที่เกิด ก็จะมีเมตตาและเห็นใจในบุคคลที่มีความเห็นผิด หรือ คนไม่ดี แทนที่จะเป็นอกุศลกับบุคคลอื่นครับ เพราะ มีแต่ธรรมที่เป็นแต่ความเห็นผิด และ อกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ไม่มีใครที่ไม่ดี มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
รวงข้าวท้องแก่
วันที่ 27 ม.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 27 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นี่คือ เหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ที่เป็นชาวพุทธจะต้องได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความละเอียดรอบคอบ ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้มีความมั่นคงในความเป็นจริงมากขึ้น สิ่งใดผิด คือ ผิด สิ่งใดถูก คือ ถูก เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ใครจะว่าอย่างไร (ในสิ่งที่ผิด) ก็จะไม่คล้อยตามในความเห็นที่ผิดนั้น พร้อมทั้งยังสามารถจะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ด้วย

หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะขาดปัญญาไม่ได้เลย บุคคลผู้ที่เป็นสาวกก็ต้องเป็นผู้ดำเนินตามหนทางดังกล่าวนี้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจเป็นปัญญาของตนเอง ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 27 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
debit_a
วันที่ 27 ม.ค. 2555

เห็นด้วยค่ะ เยอะกว่าตัวเลือกในข้อสอบอีกค่ะ ภัยภายในน่ากลัวกว่าภายนอก

สาธุๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
captpok
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
รากไม้
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขออนุโมทนาในคำตอบของคุณผเดิมและคุณคำปั่น เป็นคำตอบที่ดีมากครับ,

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ในประเด็นอื่นๆ ด้วยนะครับ..

การที่มีผู้เลื่อมใสในบุคคลอื่น ผู้ที่สอนวิธีการปฏิบัติที่ผิดนั้น ยังไม่ควรไปกล่าวว่าเป็นลัทธิอื่น เพราะไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปกีดกันเขาออกจากกลุ่มของผู้ที่ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, เพราะว่าถ้ามีจิตคิดแบบนั้น ก็เป็นอกุศลจิต ที่เกิดความไม่พอใจต่อความเป็นไปตามปกติธรรมดาของโลกฯ ด้วยความที่ยังไม่เข้าใจเหตุและผล ... ซึ่งเป็นจิตที่เศร้าหมอง ขุ่นมัว ไม่ผ่องใส

ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ผู้ที่กำลังเดินทางทุกคน ย่อมเดินผิดทาง เพราะเป็นหนทางที่ไม่เคยเดินมาก่อน, ก่อนที่จะไปสู่ความหลุดพ้น ก็ต้องเพียรอบรมกันนานแสนนาน (นับภพชาติไม่ถ้วน) และทุกคนก็ต้องเคยหลงทางกันทั้งนั้น ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า ในระหว่างที่ยังเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้ละเอียด จนถึงระดับที่เป็นปัญญา เป็นแสงสว่างส่องนำทางไปสู่ความหลุดพ้นได้ ย่อมผิดทางได้ตลอดทุกเวลา

ผู้ที่ยังไม่มีปัญญา ย่อมเลื่อมใสในข้อปฏิบัติที่ผิด ยึดหนทางและยึดบุคคลที่ผิด, ซึ่งก็เป็นที่น่าสงสาร และน่าเห็นใจ ทั้งผู้สอนและผู้ถูกสอน เพราะว่าผู้สอนเองก็มีเจตนาที่จะสร้างชื่อเสียง หรือ บางคนอาจจะทำเพื่อหาเงินหาวัตถุสิ่งของ ที่ทำไปด้วยอำนาจของกิเลสที่มีกำลังโดยไม่รู้ตัวเลย เป็นการทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาสนองกิเลส ... ซึ่งก็จะทำให้ได้รับทั้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สิ่งเหล่านี้ได้รับมาจากผู้ที่เลื่อมใสที่มีมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีโทษมากทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เป็นภัยร้าย เป็นสิ่งที่เป็นไปเพื่อความติดข้อง ทำให้กิเลสเพิ่มพูน งอกงาม เบ่งบาน การหมดกิเลสก็ไม่เป็นไปโดยง่าย ไม่ได้เป็นไปเพื่อการขัดเกลา ไม่ได้เป็นไปเพื่อวิมุติ เพื่อการหลุดพ้นฯ ... เขาก็ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ไปได้เลย

ความเป็นจริงแล้ว ทั้งผู้สอนและผู้ถูกสอน ก็เสียหายใหญ่หลวงด้วยกันทั้งคู่นั่นเองครับ ดังนั้น เราจึงไม่ควรไปเกิดความขุ่นข้องใจ กับเรื่องที่เห็น ได้ยินมาเหล่านั้น ด้วยคิดว่าอยากให้พวกเขาได้รับผลฝ่ายที่เป็นโทษ (อกุศลวิบาก) เร็วๆ ... กล่าวคือ พวกเขากำลังได้รับโทษอยู่แล้วครับ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเราไปอยากให้เกิดโทษแก่คนเหล่านั้น พวกเขาก็กำลังได้รับตลอดเวลาอยู่แล้วครับ

ถามว่า แล้วเราควรทำอย่างไร จะปล่อยให้มีความเสียหายต่อส่วนรวมต่อไปอย่างนั้นหรือ ... ก็ต้องดูตามเหตุปัจจัยว่า มีโอกาสได้ชี้แนะความเห็นถูกแก่คนเหล่านั้นหรือไม่ ถ้ามีก็ควรทำทันทีครับ ไม่ควรปล่อยให้โอกาสที่เราจะได้เจริญกุศลหลุดไป (แต่ก็ต้องดูด้วยว่า เรามีปัญญาในระดับที่จะสอนให้เขาเห็นถูกตามด้วยหรือไม่ มิฉะนั้นแล้ว จะทำให้เขาเกิดความคิดต่อต้านต่อความเห็นที่ถูก ซึ่งจะกลายเป็นว่าเราไปเติมความเสียหายให้แก่เขาหนักขึ้น ยิ่งไปกันใหญ่) แล้วถ้ายังไม่มีโอกาสนั้นเลย ก็ควรต้องปล่อยวางพักไว้ก่อน รอไว้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อนใจที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆ โดยที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร เพราะจะทำให้ร้อนใจ และแม้ว่าจะแนะนำหนทางที่ถูกต้องไปให้บุคคลเหล่านั้นไปแล้ว ก็ต้องปล่อยวางทันที อย่าไปหวังในผลใดๆ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรหวัง ด้วยเหตุหลายประการฯ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ไพรสณฑ์
วันที่ 31 ม.ค. 2555

* * * คำถามนี้ดีมากครับ เพราะทุกคนคิดว่าตนเองถูก และเห็นว่าคนอื่นผิด ก็เลยตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ * * * อธิบายอย่างนี้น่าจะถูกนะครับ หรือว่ายังผิดอยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
captpok
วันที่ 21 มี.ค. 2555

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ