จิตที่มีสมาธิ ช่วยให้ผู้มีความผิดปกติทางร่างกายหายจากโรคได้จริงหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สมุฏฐานของโรค หรือ เหตุให้เกิดโรค มีทั้งที่เกิดจาก กรรม จิต อุตุและอาหาร การหายจากโรคได้ ก็เพราะกรรมเป็นปัจจัยเป็นสำคัญ และก็มีปัจจัยอื่นๆ ทั้ง อาหาร อุตุ (อากาศ ความเย็น ความร้อน) และจิตด้วย ซึ่งพระธรรมเป็นเรื่องละเอียด แม้แต่การหายจากโรค ตามที่กล่าวแล้วครับว่า การหายจากโรค มีกรรมของผู้นั้นเอง เป็นปัจจัย สำคัญ และก็มีปัจจัยอื่นๆ ด้วยตามที่กล่าวมา ซึ่งก็รวมถึงจิตด้วย หากจิตที่ดีที่เป็นกุศล เกิดขึ้น รูปที่เกิดจากจิตที่ดีก็ประณีต ทำให้โลหิตดี การไหลเวียนดี ก็ทำให้หายจากโรคได้ แต่คำถาม คือว่า จิตของใครที่ทำให้หายจากโรคบางโรคได้ จิตของผู้อื่น หรือจิตของผู้นั้นเองที่เป็นโรค ก็ต้องเป็นจิตของผู้ที่เป็นโรคเองที่จะทำให้หายจากโรค จิตผู้อื่น จึงไม่สามารถทำให้ผู้อื่นหายจากโรคได้เลย ดังเช่น ในตัวอย่างสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็มีจิตที่มีกำลังที่สุด แต่พระองค์ก็ไม่ได้ช่วยผู้อื่นให้หายจากโรค ด้วย จิต ที่เป็นฌานมีกำลังของพระองค์ครับ แต่พระองค์ทรงแสดงธรรม และ จิตของผู้ที่ฟัง เกิดปิติ ปราโมทย์ เกิดจิตที่ดี ทำให้เกิดรูปที่ดี ก็ทำให้หายจากโรค ดังเช่น ท่านพระมหากัสสปะ ป่วย พระพุทธเจ้าทรงแสดง โพชฌงค์ ๗ (ไม่ได้ใช้ฌาน สมาธิของพระองค์) ทรงแสดงธรรม ท่านพระมหากัสสปะได้ฟังพระธรรมบทนี้ พิจารณาไตร่ตรองตาม เกิดปิติ ปราโมทย์ในพระธรรม จึงทำให้หายจากโรค ซึ่งข้อความในอรรถกถา ก็อธิบายไว้ครับว่า เมื่อท่านพระมหากัสสปะได้ฟังพระธรรม เกิดปิติ จิตที่ดีเกิดขึ้น รูปที่ดีเกิดพร้อมกับจิตนั้น ทำให้โลหิตของท่าน ผ่องใส จึงหายจากโรค เพราะจิตที่ดีของ ท่านเองเกิดขึ้นครับ นี่แสดงถึง ตัวอย่างว่า ไมใช่ใช้สมาธิ หรือ จิตของผู้อื่นทำให้หายจากโรคได้ครับ เพราะหายจากโรคเพราะจิตตนเองที่เกิดขึ้น เป็นจิตที่ดี เกิดจากการฟังพระธรรม และที่สำคัญที่สุด เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยที่อกุศลกรรมจะไม่ให้ผล คือ อกุศลกรรมไม่ให้ผลอีก จึงหายจากโรคครับ
ซึ่งหากเรามองเพียงผิวเผิน มุมกว้าง จากที่ปัจจุบัน มีการรักษาโดยใช้พลังจิต เป็นต้น ทำให้คนไข้หายจากโรค ซึ่งก็มีบางคนหายจากโรคได้จริง ก็ต่างยอมรับกันว่า พลังจิต ของผู้อื่น รักษาโรคได้ แต่ในความเป็นจริง หากมองให้ละเอียด ตามที่กล่าวแล้วครับ ว่า โรคเกิดจากสมุฏฐานต่างๆ โดยมีกรรมเป็นหลักสำคัญ โรคบางโรคที่เกิดจากรรม เป็นสมุฏฐาน แม้รักษาก็ไม่หาย เพราะกรรม คือ อกุศลกรรม ให้ผลอยู่ แต่แม้ไม่รักษา ก็หายเพราะกรรมที่เป็นอกุศลกรรมไม่ให้ผลอีก ดังนั้น ที่คนไข้ หายจากอาการผิดปกติไม่ใช่เพราะจิตผู้อื่นมามีอิทธิพลต่อโรค เพราะจิตผู้อื่น ไม่ใช่จิตตนเอง เพราะจิตเกิดขึ้นและดับไป เกิดที่ไหน ดับที่นั้น จะออกมาข้างนอกเป็นพลังงาน ที่เป็นพลังจิตไม่ได้เลย แต่ที่หายจากโรค เพราะ กรรมที่เป็นอกุศลกรรมนั้น ไม่ได้ให้ผลแล้ว ก็จึงหายจากโรค กุศลกรรมมาให้ผลแทนนั่นเอง แต่ก็เลยสำคัญผิดว่า เป็นเพราะพลังจิตของผู้อื่นครับ
แม้แต่จิตที่เป็นสมาบัติ และจิตที่มีกำลังของพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นหายจากโรคได้ เพราะเป็นจิตของพระองค์ จะกล่าวไปไยถึงสมัยนี้ ที่เป็นจิตที่เต็มไปด้วยกิเลสและไม่มีได้ฌานเลย ไม่ได้ความสงบเลย จะรักษาโรคได้ครับ โรคจึงหายได้เพราะกรรมเป็นสำคัญ กรรมของผู้นั้น และจิตของผู้นั้นเองด้วยครับ ไม่ใช่จิตของผู้อื่น
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.ผเดิมด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีร่างกาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิด ก็ยังไม่พ้นไปจากโรคทางกาย ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม การได้รับความทุกข์ทางกาย จะเป็นเพราะเหตุอื่นไม่ได้ นอกจากอกุศลกรรมให้ผลเท่านั้น ทำให้ทุกข์ทางกายเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย เมื่อมีความเจ็บป่วยเป็นโรคเกิดขึ้น ก็มีการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งจะหายหรือไม่หาย ก็ขึ้นอยู่กับกรรมอีกเหมือนกัน คนอื่นไม่สามารถทำให้คนอื่นหายจากโรคได้ แต่ละคนมีกรรมเป็นของของตนแบ่งให้กันก็ไม่ได้ ให้คนอื่นมารับผลของกรรมแทนก็ไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะคิดถึงโรคทางกาย แต่ก็ยังมีโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ยากและรักษาได้ยาก นั่นก็คือ โรคทางใจ คือ กิเลส ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่พ้นไปจากโรคทางใจ การที่จะรักษาโรคทางใจ ย่อมยากกว่าโรคทางกาย ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการสะสมปัญญาและความดีประการต่างๆ ที่จะค่อยๆ รักษาโรคทางใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเป็นผู้ไม่มีโรคทางใจ คือ กิเลส อีกเลย เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องมีการเกิดอีก ไม่ต้องมีทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ อีกต่อไป ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เพราะจิตเกิดขึ้นและดับไป เกิดที่ไหน ดับที่นั้น จะออกมาข้างนอกเป็นพลังงาน ที่เป็นพลังจิตไม่ได้เลย คำๆ นี้ผมไม่กระจ่าง
คือการหยิบหรือจับย่อมเกิดจากจิต ฉะนั้นจิตจึงแปรพลังงานออกมาในรูปอื่นได้ไม่ใช่หรือครับ และการทำให้จิตน้อมมาและเหมาะแก่ความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีคนๆ หนึ่งมีการเดินไม่เท่ากันเนื่องมาจากกระดูกไม่ปกติ แต่พอคนที่ใช้พลังจิตรักษาโดยใช้มือจี้ไปจับไปที่ฝ่าเท้า หลังจากนั้นเท้าที่เดินไม่เท่ากันก็เดินได้ดีเป็นปกติน่าแปลก
ขอคำอธิบายเพิ่มหน่อยนะครับ #กรรมเนื่องมาจากจิต จิตเป็นผู้ก่อกรรม หรือผมจับประเด็นผิดไปครับ
เรียน ความเห็นที่ 5 ครับ
จากคำกล่าวที่กระผมกล่าวว่า
เพราะจิตเกิดขึ้นและดับไป เกิดที่ไหน ดับที่นั้น จะออกมาข้างนอกเป็นพลังงาน ที่เป็นพลังจิตไม่ได้เลย
จิตเกิดขึ้นและดับไป เกิดที่ไหน ดับที่นั้น เช่น จิตที่ชอบ เมื่อเกิดขึ้นก็เกิดที่หทยรูป จิตไม่สามารถส่งพลังานออกมาข้างนอก และจิตที่ชอบก็ดับที่หทยรูปนั่นเองครับ หากเราได้ศึกษาพระอภิธรรม ที่เป็นลักษณะ ธรรมชาติของจิต คือ จิตทำหน้าที่รู้ เป็นใหญ่ในการรู้เท่านั้นครับ
ซึ่งการหยิบ จับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพราะอาศัยจิตที่เกิดขึ้น และเจตสิกด้วย รวมทั้งรูปอื่นๆ ดังนั้น เพราะอาศัยปัจจัยหลายๆ ประการ จึงทำให้มีการเคลื่อนไหวได้ หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แม้จะมีจิตก็ตาม เช่น ผู้ที่เป็นอัมพาต แต่มีความต้องการที่จะเดินก็เดินไม่ได้ หรือ มีจิตจะหยิบของเกิดขึ้นแต่ก็หยิยไม่ได้เพราะรูปนั้นไม่เหมาะ ไม่ควรแก่การงานนั่นเองครับ
ดังนั้น จึงไม่ใช่จิตแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานจึงทำให้เดินได้ แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการจึงทำให้เดินได้ หยิบสิ่งต่างๆ ได้ตามที่กล่าวมาในเหตุผลข้างต้นครับ
และหากได้ศึกษาเกี่ยวกับการรักษาที่ฝ่าเท้า ที่ฝ่าเท้าของแต่ละคน ก็มีจุดปลายประสาทต่างๆ มารวมกัน อันแสดงว่าแต่ละจุด เป็นอวัยวะใด ดังนั้น หากการกดตรงจุดที่ปลายประสาทที่ฝ่าเท้า จุดใดจุดหนึ่ง ที่เป็นอวัยวะที่มีปัญหา ก็สามารถทำให้รักษา จุดที่มีปัญหาได้ นั่นก็แสดงว่า เพราะธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลมไม่เสมอกัน อาศัยการกด บริเวณนั้น ที่ใช้ อุตุ ความเย็น ความร้อน เป็นปัจจัย อันเนื่องมาจากการกด ทำให้ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เสมอกันได้ และรักษาอวัยวะนั้นได้ครับ
เชิญคลิกลิงก์ที่แสดงจุดต่างๆ ของร่างกายที่ฝ่าเท้าที่รักษาโรคที่นี่ครับ
//www.tigerdragon.in.th/?p=1849
แต่ไม่ใช่การใช้พลังจิตผ่านไปที่ร่างกายของอีกคน เพราะจิตไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ จิตไม่ใช่รูป จิตเป็นนามธรมที่เกิดขึ้นและดับไป เกิดที่ไหน ดับที่นั้น เมื่อจิตของผู้กดเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นที่หทยรูปของผู้นั้น และก็ดับที่หทยรูปของผู้นั้น จิตจึงไม่ได้เคลื่อนที่เลย แต่เกิดขึ้นและดับไปที่หทยรูปของผู้นั้นเองที่กด ไม่ได้เคลื่อนที่เข้ามาที่ฝ่าเท้าของผู้ที่ป่วยครับ ส่วนการกดรักษาหายได้ที่ฝ่าเท้า ก็ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นในเรื่องฝ่าเท้านั่นเองครับ ไม่ใช่หายเพราะจิตของผู้อื่นครับ และด้วยกรรมถึงพร้อมก็หายจากโรคนั้นพอดี เพราะไม่ได้หมายความว่า คนที่ถูกกดฝ่าเท้าทุกคนจะหายโรคทันทีครับ ก็แล้วแต่กรรมด้วยครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมครับ แต่ขออนุญาตเปลี่ยนประเด็นนิดนึง เพราะสงสัยเกี่ยวกับผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิต ครับ
ขอเท้าความถึงคนไข้คนหนึ่งที่ผมเคยรักษาเมื่อหลายปีก่อน ญาติเขามาพบด้วยอาการ เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงหลอนมาประมาณ ๑ สัปดาห์ ผมถามประวัติแล้วก็ประเมิน คนไข้ก็คิดว่าอาการของเขาเข้าได้กับภาวะทางการแพทย์ที่เรียกว่าเป็นอาการจิตเภท แบบเฉียบพลัน ซึ่งตามตำราก็กล่าวไว้ว่า มักจะตอบสนองดีต่อการให้ยาต้านอาการ จิตเวช ผมจ่ายยาให้เขาไปแล้วก็นัดมาดูอาการอีก ๑ สัปดาห์ ก็พบว่าอาการเขาหายเป็นปกติ ไม่มีภาพหลอน พูดจารู้เรื่องเป็นปกติ
ขอเรียนถามว่า
๑. อาการเจ็บป่วยเป็นโรคทางจิตเวช มีสมุฏฐานจากอะไรครับ (เหมือนความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือไม่) เพราะถ้าทางการแพทย์ก็เรียนมาว่าเกิดจาก ความผิดปกติของสารสื่อประสาท จากโครงสร้างสมอง จากการเลี้ยงดู ฯลฯ อยากทราบว่าในแง่ของปรมัตถธรรมแล้ว จะอธิบายเช่นไร
๒. ยารักษามีบทบาทอย่างไรในการรักษา
ผมเข้าใจว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้คนไข้หาย เพราะท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นกับกรรมของคนไข้ เพราะไม่ใช่ว่าคนไข้ทุกคนให้ยาแล้วต้องหายเหมือนกันหมด
ขอกราบขอบพระคุณครับ
เรียน ความเห็นที่ 7 ครับ
๑. อาการเจ็บป่วยเป็นโรคทางจิตเวช มีสมุฏฐานจากอะไรครับ (เหมือนความเจ็บป่วยทาง ร่างกายหรือไม่) เพราะถ้าทางการแพทย์ก็เรียนมาว่าเกิดจาก ความผิดปกติของสารสื่อ ประสาท จากโครงสร้างสมอง จากการเลี้ยงดู ฯลฯ อยากทราบว่าในแง่ของปรมัตถธรรมแล้วจะอธิบายเช่นไร
โรคทางจิต ก็เกิดได้หลายสมุฏฐาน ทั้ง กรรม จิต อุตุและอาหารก็ได้ เช่น โรคทางจิต ที่เกิดจากกรรม เพราะกรรมคือ การดื่มสุราเมรัย วิบากอย่างเบาที่เป็นเศษของกรรม ก็ทำให้ผู้นั้นป่วยเป็นโรคจิต เป็นบ้าได้ เกิดเพราะจิต เพราะอาศัยจิตที่เป็นโมหมูลจิต อุทัจจะ ที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านเกิดบ่อยๆ ติดต่อกันไป ก็ย่อมถึงความเป็นบ้า ฟุ้งซ่าน มีการเห็นภาพหลอนได้ และเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน สภาพอากาศ ทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ในร่างกาย ทำให้เกิดความแปรปรวนในร่างกาย เป็นปัจจัยให้จิตฟุ้งซ่าน เพราะความผิดปกติของรูปก็ได้ เป็นต้น
๒. ยารักษามีบทบาทอย่างไรในการรักษา
ผมเข้าใจว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้คนไข้หาย เพราะท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นกับกรรมของคนไข้ เพราะไม่ใช่ว่าคนไข้ทุกคนให้ยาแล้วต้องหายเหมือนกันหมด
จากที่กล่าวแล้วในเหตุผลข้างต้น ว่า โรคเกิดได้หลายสมุฏฐาน ทั้ง กรรม จิต อุตุ และอาหาร โรคบางอย่างที่เกิดจากกรรม หากกรรมยังให้ผลอยู่ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย แต่เพราะมีโรคที่เกิดจากอุตุ และอาหาร เป็นปัจจัยด้วย การทานยา ที่จะทำให้เกิดรูปใหม่ที่มีผลกับรูปอื่นๆ เช่น ต่อระบบประสาท ที่เป็นการประชุมรวมกันของอวินิพโภครูป ก็จะทำให้หายจากโรคได้ เพราะ จิตจะเกิดได้ ก็ต้องอาศัยรูป และรูปต่างๆ ก็เป็นปัจจัย ให้กับรูปอื่นที่เกิดขึ้นด้วย ดังนั้น ยาก็มีผลกับรูปด้วย ทำให้เกิดกลุ่มของรูปใหม่ๆ ได้ และ ทำให้เกิดความสมดุลของธาตุ ๔ ที่สม่ำเสมอ ก็ทำให้รักษาโรคที่ไม่ใช่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานได้ครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของโรคไว้ครับว่า โรคบางอย่าง รักษาไม่หายเพราะมีกรรมเป็นปัจจัย แม้ไม่รักษาก็หาย หากกรรมนั้น ที่เป็นอกุศลกรรมไม่ให้ผลอีก แต่โรคบางอย่างก็รักษาหาย เพราะไม่ได้มีกรรมเป็นปัจจัย เราจึงอนุญาตให้มี คิลานเภสัช คือ มียารักษาโรค สามารถทานยา และรับยาได้ และมีผู้ที่ดูแลผู้ป่วยไข้ ด้วย ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณครับ เมื่อพิจารณาแล้วเป็นจริงตามที่อาจารย์กล่าวมา ขอขอบคุณมากๆ ครับ