จิต มีที่ตั้งไหมครับ

 
รวงข้าว
วันที่  29 ม.ค. 2555
หมายเลข  20461
อ่าน  1,673
  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ทำหน้าที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ หรือ รู้อารมณ์ จิตเมื่อเกิดขึ้น จะต้องมีที่เกิดของจิต ซึ่งเรียกว่า วัตถุ ๖

รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี ๖ รูป เรียกว่า วัตถุรูป ๖ คือ

จักขุปสาทรูป ๑ เป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง

โสตปสาทรูป ๑ เป็นโสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณจิต ๒ ดวง

ฆานปสาทรูป ๑ เป็นฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง

ชิวหาปสาทรูป ๑ เป็นชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง

กายปสาทรูป ๑ เป็นกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณจิต ๒ ดวง

หทยรูป ๑ เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕

เว้นเฉพาะทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวงเท่านั้น

ดังนั้น จิตไม่ได้ตั้งอยู่ที่หนึ่งที่หนึ่งที่ใด แต่จิตเกิดขึ้น เพราะจิตไม่ใช่รูป จิตเป็นนามธรรม เป็นเพียงสภาพรู้ จึงไม่ได้มีลักษณะอาการที่ไปตั้งอยู่ในที่ใด แต่ จิต เมื่อเกิดขึ้นจะต้องมีที่เกิดขึ้น ตามที่กล่าวมาครับ

ส่วน คำอุปมาที่ว่า จิตที่ตั้งไว้ดีแล้ว หรือ จิตที่ตั้งไว้ชอบ ย่อมทำให้บรรลุได้ เป็นต้น ท่านอุปมา ที่ไม่ได้แสดงลักษณะของ การตั้ง ดังเช่นรูปธรรม แต่แสดงความหมายที่ว่า จิตที่ตั้งไว้ดีแล้ว หรือ จิตที่ตั้งไว้ชอบคือ จิตที่อบรมปัญญาบ่อยๆ ตั้งไว้ด้วยดีในกุศลธรรม หรือ จิต ที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างมากที่มีกำลัง ชื่อว่าตั้งไว้ด้วยดี ครับ จึงเป็นการแสดงถึง จิตที่ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี มีปัญญา และ เจตสิกฝ่ายดีอื่นๆ มีศรัทธา สติ เป็นต้น ที่มีกำลัง เพราะอบรมมานาน ชื่อว่า ตั้งไว้ด้วยดีนั่นเองครับ และยังหมายถึง การทำกุศลและน้อมจิตไปในการไม่เกิด พระนิพพาน ชื่อว่า จิตที่ตั้งไว้ชอบ เพราะตั้งไว้ ในการสิ้นกิเลสนั่นเองครับ

จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมไม่สามารถทำให้บรรลุธรรมได้ ความหมาย ก็คือ ไม่ได้หมายถึง จิตมีที่ตั้ง แต่หมายถึง จิตที่มีความเห็นผิด คือ ทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย ชื่อว่า จิตที่ตั้งไว้ผิด หรือ จิตที่เป็นอกุศล มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ชื่อว่า จิตที่ตั้งไว้ผิดครับ ส่วน จิต เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องมีที่เกิดขึ้นตามที่กล่าวมา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่สั้นแสนสั้น มีอายุเพียงแค่ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และขณะที่ดับไปเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเฉพาะจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอีกประเภทที่เกิดร่วมกับจิตนั้นด้วย เมื่อเกิดร่วมกับจิต ก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ดับพร้อมกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ด้วย สภาพธรรมที่กล่าวนั้น คือ เจตสิก จิตและเจตสิก ไม่ได้ตั้งอยู่ที่ไหนเลย เพราะเกิดแล้ว ดับแล้ว และในขณะที่เกิดนั้นก็จะต้องมีที่อาศัยเกิดของจิตและเจตสิก ด้วย ที่เกิดของจิตและเจตสิก เรียกว่า วัตถุรูป ไม่ได้มีเฉพาะหทยวัตถุเท่านั้น ที่เป็นที่เกิดของจิต ยังมีอีก ๕ วัตถุรูป อันเป็นที่เกิดของจิตและเจตสิก ได้แก่ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) โสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) และ กายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) จิตที่เหลือทั้งหมดนอกจากที่กล่าวมาแล้ว เกิดที่หัทยวัตถุทั้งหมด จิตและเจตสิกจะเกิดที่อื่นไม่ได้ นอกจากเกิดที่วัตถุรูป ๖ รูป ตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ [ถ้าเป็นในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีรูปธรรม มีเฉพาะนามธรรม จิตและเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น] ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ที่เกิดของจิต ซึ่งเรียกว่า วัตถุ ๖ รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี ๖ รูป เรียกว่า วัตถุรูป ๖"

"จิตและเจตสิก ไม่ได้ตั้งอยู่ที่ไหนเลย" เพราะเกิดแล้ว ดับแล้ว และในขณะที่เกิดนั้นก็จะต้องมีที่อาศัยเกิดของจิตและเจตสิก

"ที่เกิดของจิตและเจตสิก เรียกว่า วัตถุรูป ๖"

ขอบคุณ และขออนุโมทนาอ.ผเดิม, อ.คำปั่นด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
รวงข้าว
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ทั้งหมดก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งสภาพธรรมมีหลากหลายต่างๆ กันไป เมื่อปัญญาเจริญถึงขั้นเข้าใจสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ก็จะมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น ว่าเห็น (เห็นอย่างเดียว) ไม่ใช่ได้ยิน (ได้ยินอย่างเดียว) เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ ก็จะรู้ได้ว่า จิตเห็นที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดที่จิตได้ยิน และตอนที่คิดนึก ปัญจทวารก็ไม่ปรากฏ เป็นต้น พระธรรมที่ทรงแสดงส่องถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในแต่ละขณะ ค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนากุศลจิตทุกท่านที่เกิดมีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 31 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ