ขณะที่หลับพระอรหันต์จะยังมีความฝันรึไม่คับ
พระอรหันต์เป็นผู้ซึ่งหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่ติดข้องกับสิ่งที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีกต่อไป
ตามความคิดผม คิดว่า ท่านคงไม่นำสิ่งที่มากระทบอายตนะ เอาเก็บไปฝันอีก ไม่ทราบผมเข้าใจถูกไหมครับ อยากให้ท่านผู้รู้อภิธรรมช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรเข้าใจครับว่า สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ขณะฝันก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมเช่นกัน ขณะฝัน ขณะนั้นก็เป็นจิต จิตที่คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นอาศัย สัญญา ความจำ จำในสิ่งต่างๆ และเมื่อมีความจำ ก็มีการคิดนึกในสิ่งที่จำมาในชีวิตประจำวันหรือในอดีตที่เคยเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งกระทบสัมผัส และเมื่อมีการเห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ ในอดีตแล้ว ขณะนั้นก็ต้องมีการจำด้วย จำในสิ่งต่างๆ ที่ได้เห็น ได้ยิน และก็มีการคิดนึกถึงเรื่องที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้จำมา ครับ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฝันก็เป็นการคิดนึก คือจิตที่คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็น เคยได้ยินมา เป็นต้น เพราะฉะนั้น อาศัยสภาพธรรม อาศัยสัญญาความจำ อาศัยจิตจึงมีการฝันเป็นเรื่อราวต่างๆ เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ขณะที่ฝันไม่ใช่ขณะที่เห็น แต่เหมือนเห็น ฝันคือการคิดนึกครับ ซึ่งหตุให้เกิดความฝันก็เพราะมีสัญญา มีจิต มีอกุศลอยู่จึงมีการฝัน
ดังนั้น ความฝันจึงเกิดจากการปรุงแต่งของผู้ที่มีกิเลสอยู่ ทำให้เกิดความฝันที่เป็นกุศลและอกุศลครับ ส่วนพระอรหันต์ท่านดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ท่านละวิปลาสได้ คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่เป็นอกุศลจิต จึงไม่มีความฝันที่เป็นความวิปลาสได้ เมื่อความฝันนั้นเป็นอกุศลครับ และท่านก็ละความยินดี พอใจ ติดข้องในสิ่งต่างๆ และอวิชชา ความไม่รู้และกิเลสประการต่างๆ ทั้งสิ้น จิตของท่านจึงมีเพียงชาติวิบากและกิริยา ไม่เป็นกุศลหรืออกุศลเลยครับ
เพราะฉะนั้น ในเมื่อความฝัน เป็นจิตชาติกุศลหรืออกุศล พระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต หรือ อกุศลจิตเกิดแล้ว จึงไม่ฝันนั่นเองครับ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ละวิปลาสได้ทั้งหมด คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนตามความเป็นจริงและอกุศลได้หมดสิ้น จึงไม่ฝันอีกต่อไปครับ
ผู้ถามเข้าใจถูกต้องแล้วครับ เพราะท่านละวิปลาส ที่เป็นอกุศลได้หมดแล้วครับ จึงไม่ฝัน
ขออนุโมทนา
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 102
ข้อความบางตอนจากอรรถกถาพระวินัย
... ก็แลความฝันทั้ง ๔ อย่างนี้นั้น พระเสขะและปุถุชนเท่านั้น ย่อมฝัน เพราะยังละวิปลาสไม่ได้. พระอเสขะทั้งหลาย ย่อมไม่ฝันเพราะท่านละวิปลาสได้แล้ว.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
คำตอบจากท่าน อ. ผเดิม แจ่มแจ้งยิ่งนัก การฝันจึงเป็นของพิสูจน์ถึงความเป็นพระอรหันต์ หรือยังได้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็จะรู้ได้เฉพาะตน
ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ
ความฝันเกิดจาก ๑. บุพนิมิตร ๒. เทพสังหรณ์ ๓. จิตอาวรณ์ ๔. ธาตุกำเริบ
บุพนิมิตร หมายถึง การเคยประสพพบกับเหตุการณ์นั้นมาก่อน ตามบุญวาสนา ของผู้นั้น เช่นเคยเป็น พรหม เป็น เปรต อยู่ในสวรรค์ ในนรก เป็นต้น ถ้ามีบุพนิมิตรเข้ามา ฝัน มักจะเป็นจริงเสมอ
เทพสังหรณ์ หมายถึง เทวดามีความประสงค์จะพูดจาด้วย แต่เทพเทวดา จะมีทั้งสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ ดังนั้น ต้องวิเคราะห์กัน อาจจะเป็นจริงมั่งไม่จริงมั่ง แล้วแต่ทิฏฐิของเทวดา
จิตอาวรณ์ หมายถึง มีจิตที่ยังผูกพันกับสิ่งต่างๆ ทั้งคน สัตว์และสิ่งของ ทำให้จำสิ่งเหล่านั้น และกลับมาฝันต่อ ฝันเหล่านี้เป็นไปตามอุปาทานของจิต จึงเชื่อถืออะไรไม่ได้
ธาตุกำเริบ หมายถึง เลือดลมและธาตุต่างๆ ในตัวกำเริบเวลาหลับ จึงฝัน และฝันดีบ้าง ฝันร้ายบ้าง แล้วแต่ว่าธาตุอะไรจะกำเริบ
ส่วนพระอรหันต์ ฝันได้ครับ แต่ไม่มีนัยสำคัญอะไรกับตัวท่าน เพราะจิตของท่านหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงแล้ว ดังนั้นท่านจะไม่ฝันเพราะมีจิตอาวรณ์
ขันธ์ ๕ บังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นจึงบังคับความฝันไม่ได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันต์ คือ ผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลส ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย เมื่อกล่าวถึงขณะที่ฝันแล้ว ย่อมหมายถึงเฉพาะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่เท่านั้น พระอรหันต์ ไม่มีกิเลส จึงไม่ฝัน ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้จิตของพระอรหันต์เป็นอกุศลและกุศลได้เลย ซึ่งจะแตกต่างไปจากผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างสิ้นเชิง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เสกขบุคคล ตั้งแต่ปุถุชนถึงพระอนาคามี หมายถึงผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ ท่านยังมีกิเลส ยังมีความฝัน ส่วนพระอเสกขบุคคล หมายถึงพระอรหันต์ ท่านดับกิเลสหมดแล้ว เวลาท่านนอนหลับ ไม่มีความฝันอีกเลยค่ะ
รบกวนสอบถามเพิ่มเติมค่ะ
สงสัยต่อจากประเด็นข้างต้น ว่าขณะที่ฝันก็คือคิดนึก แล้วอย่างนี้ ตอนที่ตื่น สภาพคิดนึกของพระอรหันต์ยังมีอยู่รึเปล่า และเป็นอะไรคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
ตามที่กล่าวแล้วครับว่า ความฝัน เกิดด้วยจิตของชาติ คือ กุศล และ อกุศลจิตครับ ซึ่งความฝันก็คือความคิดนึกด้วยกุศลจิตและอกุศลจิต แต่พระอรหันต์ยังมีจิต ก็ย่อมมีการคิดนึก แต่ในเมื่อพระอรหันต์ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว จิตของท่านจึงไม่เป็นกุศล หรือ อกุศล ขณะที่ท่านคิดนึกจึงเป็นกิริยาจิต เมื่อไม่เป็นกุศล อกุศล ความฝันก็เกิดไม่ได้ เพราะความฝันเกิดได้ด้วยจิต ๒ ชาติ คือ กุศลและอกุศลจิต ครับ พระอรหันต์คิดได้ แต่คิดด้วยจิตที่ดี แต่เป็นกิริยาจิต ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ