คนเราทุกวันนี้ ขาด หิริ โอตับปะ และความเมตตาต่อกันมากขึ้นทุกที ..
... คิดเห็นยังไงกันบ้างครับ
จากในชีวิตประจำวัน จากข่าวสารบ้านเมือง คนเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่คงจะคิดว่า เกิดมาชาตินี้คงจบแค่ชาตินี้ชาติเดียวกัน ก็เลยทำแทบจะทุกสิ่งที่เป็นอกุศลโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว รึรู้ตัวแต่ก็ไม่มีความละอายใจกัน ที่สำคัญ ขาดเมตตาซึ่งกันละกัน มักจะมีการว่ากันไปว่ากันมา ทั้งต่อหน้าและลับหลังกัน โดยที่เอาความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ได้อิงธรรมกัน ถ้าคนที่ไม่ได้ฟังธรรมก็คงจะไม่มีสติระลึกรู้ว่า วันๆ เรานั้นกำลังเจริญอกุศลกันอยู่รึเปล่า ซึ่งสวนทางกับที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เจริญแต่กุศล เพราะรู้ว่า ผลไม่ว่าจะเป็น กุศล รึ อกุศล ก็คือวิบากข้างหน้าที่จะต้องได้รับอย่างแน่นอน คนฉลาดก็ควรที่จะกลับมาดูตัวเองว่าวันๆ กุศล รึ อกุศล เกิดมากน้อย ต่างกันเพียงใด ผมแค่นึกสงสารจริงๆ กับคนส่วนใหญ่ที่ทำอะไรโดยความไม่รู้ เพราะไม่ค่อยได้ฟัง หรือไม่เคยฟังธรรมนะครับ
ผมคิดว่า ถ้าทุกคนเจริญ ธรรม ที่เป็น หิริ โอตตัปปะ และความเมตตาต่อกันให้มากขึ้น สังคมเราจะมีแต่ความสงบเย็นมากกว่านี้นะครับ แต่ผมก็คิดว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็ทำใจเป็นกลางที่สุดพยายามไม่ยินดี ยินร้ายกับสิ่งที่ปรากฏ ครับ
อาจารย์และสหายธรรมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับธรรมที่เป็น หิริ โอตตัปปะ และความเมตตาของคนในยุคนี้ เทียบกับคนสมัยก่อน แตกต่าง รึ คิดเห็นยังไงกันบ้างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีความเสมอกันโดยความที่มีรูปธรรม และ นามธรรม กล่าวคือ มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไป แต่ที่แตกต่างกัน คือ การสะสม และ การได้รับผลของกรรม แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกันเลย คนที่มีความประพฤติที่ไม่ดี ขาดความละอาย ความเกรงกลัวต่อบาป ขาดความเมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นั้น มีทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เฉพาะในสมัยนี้เท่านั้น เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ก็เป็นแต่ธรรม คือ อกุศลธรรม เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงคนทั้งโลกให้มีความประพฤติที่ดีงามเหมือนกันทั้งหมดได้ เพราะย่อมขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคล ถึงแม้จะมีอกุศล เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าได้เริ่มเห็นโทษของอกุศลขึ้นบ้าง จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ย่อมจะดีกว่าที่เป็นอกุศลแล้วไม่เห็นโทษ และ ไม่ถอยกลับจากอกุศลเลย ที่จะเป็นผู้เห็นโทษของอกุศล และถอยกลับจากอกุศลได้ ต้องเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ กิเลสอกุศลธรรมที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ สะสมท่วมทับอย่างมากมาย (ถ้าเป็นวัตถุ ก็คงจะไม่มีที่เก็บ เพราะมากเหลือเกิน) จะค่อยๆ ละคลายให้เบาบางลงจนกระทั่งสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นไม่มีเหลือเลย นั้น ก็ต้องด้วยปัญญา
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอุปการะเกื้อกูลให้พุทธบริษัทมีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ จนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ได้ ต้องมีปัญญา ก็จะเห็นความอัศจรรย์ของปัญญาได้ว่า สามารถดับกิเลสได้จนหมดเกลี้ยงจากใจ
พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก่อนที่ท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นนั้น กิเลสที่ท่านได้สะสมมา ก็ยังมีอยู่ครบ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แต่เมื่อใดที่ปัญญาเจริญขึ้นคมกล้าขึ้น จนกระทั่งถึงมรรคจิต ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ กิเลสที่ดับได้แล้วก็จะไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ และผู้ที่จะไม่มีกิเลสใดๆ เลยนั้น คือ พระอรหันต์
ดังนั้น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับ ความประพฤติที่ไม่ดีประการต่างๆ ก็ย่อมจะมีได้ เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับว่า ผู้นั้นจะได้รับการขัดเกลาด้วยพระธรรมหรือไม่? จึงเป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ เรื่องของบุคคลอื่นก็เป็นเรื่องของบุคคลอื่น หน้าที่ของเรา ภาระของเรา คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และน้อมประพฤติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ยังเป็นธรรมดาที่ยังมีกิเลสที่สะสมมามากเป็นธรรมดา เมื่อสะสม กิเลสมามาก ก็ทำให้มีการล่วงออกมาทางกายและวาจาที่ไม่ดี อันแสดงถึงกำลังของกิเลส และขณะที่กิเลสเกิดขึ้น ล่วงออกมาทางกาย วาจา ก็เป็นขณะที่ขาดหิริ โอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในขณะนั้นครับ แต่แสดงถึงความมีกำลังของอกุศลและของสภาพธรรมที่มีกำลังในฝ่ายอกุศลที่เรียกว่า อหิริกะ อโนตตัปปะ คือ ไม่ละอายและเกรงกลัว ต่อบาป
ซึ่งในยุคปัจจุบัน มนุษย์อายุขัยต่ำกว่าร้อยปี พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เมื่อมนุษย์ มีอายุขัยต่ำกว่าร้อยปี มนุษย์ยุคนั้นจะมีปัญญามาน้อย แต่มีกิเลสที่มีกำลังมาก เพราะ ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาเหลือเกินที่ยุคสมัยนี้ จะต่างกับ สมัยพุทธกาล ที่มีผู้ประกอบด้วย ปัญญา มามากมาย แต่สิ่งที่น่าพิจารณาคือว่า เมื่อเราเห็นถึงความเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ควรเห็นใจและเข้าใจในบุคคลนั้น เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใคร มีแต่อกุศลธรรม อหิริกะ อโนตตัปปะ ที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นเองครับ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเห็นตามความเป็นจริง และไม่เป็นอกุศลกับผู้อื่น เพราะเราเข้าใจความจริงแล้ว และก็อบรมปัญญา ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดต่อไปครับ ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระธรรมย่อมเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นแต่ เพียงโลก ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ และความคิดนึก ที่คิดว่ามีใคร คนอื่นมากมาย ก็อยู่แค่ โลก หก โลก นี้เท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนา
บ่อยครั้ง ถ้าไม่ได้ฟังธรรม โดยเฉพาะอภิธรรม เราก็มักจะหลงไปกลับเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นบัญญัติ ในชีวิตประจำวัน กับสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บางครั้งก็ลืมไปว่า ที่จริงแล้ว ก็เป็นแค่ธรรม แต่ละอย่างทั้งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เกิดดับต่อๆ กัน ก็เท่านั้นเอง ขณะหลงลืมสติ ก็มักจะไม่ทัน มันเร็วมากจริงๆ ครับ เผลอไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่มากระทบ จนเกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ พอเกิด ปุ๊บ ผลโดยมากก็มักจะเป็นทุกข์ เพราะไปยึดถือไปกับสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ที่ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นดังใจเราครับ วงจรเกิดทุกข์นี่มันรวดเร็วจริงๆ เลยครับ หากไม่ระลึกถึงธรรม ที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะตัดวงจรนี้ทัน ก่อนที่มันจะเกิดมาเป็นความทุกข์
เรื่องของบุคคลอื่น หน้าที่ของเรา ภาระของเรา คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และน้อมประพฤติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ ขอบคุณ อ. คำปั่น และ อ. เผดิม ที่ช่วยให้ปัญญา เตือนสติ ที่บางครั้งก็เผลอลืมสติมองออกไปนอกตัว แทนที่จะโอปนะยิโก ด้วยการน้อมมามองที่กาย ใจของเราเองดีกว่า นั้นก็คือ สติปัฏฐาน ทางสายเอกสายเดียวที่จะหมดทุกข์อย่างแท้จริง
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ราตรีย่อมปรากฏยาวแก่ผู้ตื่นอยู่
โยชน์ย่อมปรากฏยาวแก่ผู้เหนื่อยล้า
สงสารย่อมยาวนานแท้
แก่คนโง่เขลาทั้งหลาย
ผู้ไม่รู้พระธรรม