ผีเร่ร่อน วิญญาณพเนจร หรือสัมภเวสี มีจริงไหมและอยู่ในภพภูมิใด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่น เราก็จะต้องเข้าใจธรรมทีละคำอย่างถูกต้อง ก็จะเข้าใจประเด็นปัญหาทั้งหมดครับ คำว่า วิญญาณ ผี และ สัมภเวสี
คำว่า วิญญาณ
วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่เข้าใจกัน แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณ คือจิต นั่นเองครับ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือจิต จึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณหรือจิตเห็น โสตวิญญาณหรือจิตได้ยิน
ดังนั้น เมื่อวิญญาณหรือจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี เป็นต้น
วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่วิญญาณ หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ครับ
ส่วนชีวิตหลังความตายนั้น โดยมากเข้าใจว่าตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่จุติ คือจิตขณะสุดท้ายทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้นดับ ปฏิสนธิจิตคือจิตขณะแรกของชาติต่อไปก็เกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่าปฏิสนธินั้นเป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็นสัตว์นรกก็กล่าวว่าไม่เห็นผี แต่ถ้าเกิดในภูมิที่สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือขณะที่เป็นบุคคลที่ตายไปแล้ว ปรากฏร่าง เหมือนที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็นผี ความจริง เทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า หรือจะเรียกว่าผีเฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรตและอสุรกายเท่านั้น ดังนั้น ตายแล้วเกิดทันที และยังเห็นบุคคลที่ตายอยู่ ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน แต่เกิดในภพภูมิที่เป็นเปรตหรืออสุรกายก็ได้ครับ
คำว่า สัมภเวสี ตามความเป็นจริงแล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นสัมภเวสีทั้งหมด เพราะยังต้องเกิดอยู่ ดังนั้น พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เป็นสัมภเวสี ปุถุชน จนถึงพระอนาคามี เป็นสัมภเวสี เพราะยังต้องเกิด ยังแสวงหาที่เกิดอยู่ครับ
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 567
สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้.
ดังนั้น สิ่งที่มีจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูปและนิพพาน เพราะมีสภาพธรรมเหล่านี้ จึงบัญญัติว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เทวดา เปรต อสุรกาย เป็นสิ่งต่างๆ การได้เข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ควรรู้และสิ่งที่มีจริง คือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปที่กำลังเกิดดับ และเพราะความเกิดดับของสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว จึงทำให้สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคลจริงๆ
ประโยชน์สูงสุด คือการไถ่ถอนความเห็นผิดว่า มีสัตว์ บุคคล เปรต อสุรกาย หรือผี เพราะมีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก และรูปที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์กับสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น สัตว์โลกประเภทอื่นที่มีนอกจากนี้ ก็มี คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดาและพรหม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพราะมีสภาพธรรมที่จริง กล่าวคือ จิต เจตสิกและรูป จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกสัตว์ในภพภูมิอื่นว่าอย่างไร ก็เรียกไปตามสมมติ เท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี มีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ และที่สำคัญ วิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า จะต้องเร่ร่อน เพราะวิญญาณ เป็นนามธรรม เป็นจิต ไม่มีรูปร่าง ไม่มีการเร่ร่อน แต่เกิดที่ไหน ก็ดับที่นั่น เมื่อวิญญาณขณะหนึ่งดับไป ก็เป็นปัจจัยให้วิญญาณขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เป็นอย่างนี้อย่างไม่ขาดสาย และในขณะนี้ก็ไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากวิญญาณ
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือเป็นนามธรรมกับรูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรมหรือเป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ แต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ และสามารถเข้าใจได้ ด้วยปัญญา
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่ ... ขณะที่คิดว่าผีมีจริงหรือเปล่า ขณะที่คิด นั้น สภาพคิดเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่มีจริง เรื่องที่คิด ไม่มีจริง
ตามความเป็นจริงแล้ว ใครก็ตามที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ย่อมได้ชื่อว่าสัมภเวสี ทั้งนั้น เพราะยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป (รวมถึงตัวเราด้วย) เพราะฉะนั้นแล้ว จะหาความละเอียดของคำที่ได้ยินได้ฟังจากที่ไหน ถ้าไม่ใช่จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ.
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า ภพภูมิทั้งหมดมี ๓๑ ภูมิ คือ มนุษย์ ๑ อบายภูมิ ๔ สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหมภูมิ ๑๖ อรูปพรหม ๔ อะไรที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็เรียกว่า อมนุษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือ เปรต อสุรกาย หรือ เทวดา ค่ะ
เปรต อสุรกาย และเทวดา สามารถปรากฏกาย ให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ อันเป็นที่มาของคำว่า "ผี" ถูกต้องมั้ยครับ ...
ผี .. จึงมาจาก ๓ ภพภูมิดังกล่าว คือมีมิติที่ซ้อนกันอยู่กับภพมนุษย์และดิรัจฉาน ไม่มีภพภูมิตรงกลางที่กล่าวกันทั่วไปอย่างผิดๆ ว่าสัมภเวสีหรือวิญญาณเร่ร่อนที่รอการเกิด ...
คำถาม มีเจตนาเพียงเพื่อหาคำอธิบาย และคำตอบที่ถูกต้องของภพภูมิ ที่เราเข้าใจกันผิดๆ มาตั้งแต่เกิด และได้เข้าใจตรงกัน จากภูมิธรรมของท่านที่รู้จริงครับ
ส่วนเรื่องการฟังธรรม ... ผมปวารณาตัวแล้วว่าจะฟังไปเรื่อยๆ เพื่อสะสมความรู้ความเข้าใจ และจะฟังต่อไปจนตาย และเกิดใหม่มาฟังอีก จนกว่าจะลึกซึ้งถึงกระดูก ... เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นครับ ...
ด้วยหัวใจซาบซึ้งในธรรมของพระพุทธองค์ ...
กราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านครับ
ขอสอบถามหน่อยได้มั้ยครับ แล้วอย่างคนที่ตายโหงหรือฆ่าตัวตาย ที่เราเห็นๆ กันว่ามีจิตของเขาอยู่ ณ ที่ๆ นั้นที่เขาตาย อย่างนี้พวกเขาอยู่ภพภูมิไหนหรอครับ
อนุโมทนาสาธุ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ