การจัดการกับปัญหาชีวิต
เมื่อเกิดปัญหาหนักๆ ในชีวิต จะต้องทำอย่างไร คิดอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิต ก็คือ จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป และเพราะยังมีเจตสิกที่ไม่ดี คือ กิเลส ประการต่างๆ ที่สะสมมามากมาย ก็ทำให้เกิดความทุกข์ใจ อันเกิดจากกิเลสเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ความทุกข์ที่สัตว์โลกกล่าวว่า เป็นปัญหาชีวิตนั้น ความทุกข์จึง แบ่งเป็น สองส่วนใหญ่คือๆ ความทุกข์กายที่เป็นผลของกรรม ที่ได้รับกระทบสัมผัส ทางกาย ไม่ดี มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ขณะที่เจ็บ เป็นต้น และ อีกส่วนหนึ่ง คือ ความทุกข์ ใจ ที่เกิดจากกิเลสประการต่างๆ
ดังนั้น ปัญหาหนักของชีวิต จึงไม่พ้นจากการเกิดขึ้น ของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ที่เป็นผลของกรรมบ้าง (ทุกข์กาย) และ เป็นอกุศลจิต บ้าง คือ ทุกข์ใจ แต่เพราะปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ไม่มีปัญญา จึงไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา แต่เพราะมีกิเลส ที่สำคัญผิดว่า มีเรา มีเขา มีสิ่งต่างๆ จึงทุกข์เพราะความยึดถือ ว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งต่างๆ และเพราะความยึดถือในสิ่งเหล่านั้น เมื่อสิ่งนั้นแปรปรวนไป ไม่เป็นดั่งใจ หรือ ไมได้สิ่งนั้น พลัดพรากจากสิ่งนั้น จึงทำให้ทุกข์ใจ จึงเกิดปัญหาขึ้น ปัญหามีได้ ก็เพราะกิเลส ขณะใดที่เป็นอกุศล มี ปัญหา แต่ ขณะที่เป็นกุศล ไม่ทุกข์ ขณะนั้น จะมีปัญหาไม่ได้เลย จึงสามารถกล่าวได้ว่า ปัญหามีเพราะกิเลส และขณะที่เป็นปัญหา คือ ขณะนั้นจิตเป็นอกุศล มีความทุกข์ใจ ฟุ้งซ่าน เป็นต้น ในขณะนั้นครับ
คำถาม คือ จะทำอย่างไรเมื่อเจอปัญหาหนักๆ ของชีวิต
ตามที่ได้กล่าวแล้ว เพื่อให้เข้าใจว่า ปัญหา คือ อกุศล กุศล ไม่เป็นปัญหา ขณะที่ ทุกข์ใจเพราะกิเลส เป็นปัญหาในขณะนั้น การแก้ไขปัญหา หรือ การแก้ไขอกุศล ต้อง แก้ไขด้วยปัญญาความรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งเราจะต้องยองมรับความจริงในบาง ประการครับว่า สะสมปัญหา สะสมเหตุให้เกิดปัญหา เหตุให้เกิดความทุกข์ใจ คือ สะสม กิเลสมามากมายที่ทำให้เกิดอกุศล เกิดปัญหามามากมายนับไม่ถ้วน การจะแก้ปัญหา แก้อกุศล จึงจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลายาวนาน ไม่สามารถที่จะละปัญหาได้ทันที เพราะสะสมกิเลสมามากนั่นเองครับ ซึ่งธรรมที่จะแก้ปัญหา แก้อกุศล คือ ปัญญา เพราะ ปัญญาทำให้เข้าใจความจริงของชีวิตว่า คือ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้น ไม่มีเรา ไม่มีเรื่องราวต่างๆ ที่ยึดว่า สิ่งนั้นสำคัญเหลือเกินกับชีวิต หากเรามองย้อนไปในเรื่องราวนั้นที่ผ่านไป แม้ไม่นาน ก็ไม่ต่างจากความฝัน และที่สำคัญที่เราคิดว่าสำคัญมาก หลับแล้วก็ลืม ในขณะที่หลับแล้ว เรื่องราวที่สำคัญมาก หายไปไหน ไม่มีเลย ดังนั้น จึงเป็นเพียงความคิดนึกของตนเองจริงๆ ที่คิดว่ามีปัญหาครับ ดังนั้น ก็ไม่พ้นจากการคิดนึกของตนเอง ซึ่งการจะเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ได้ เพื่อละคลายทุกข์ก็ต้องอาศัยระยะเวลา ยาวนานในการอบรมปัญญา หากจะให้หายทุกข์ หายจากปัญหา ที่เป็นอกุศลที่สะสมมามากทันทีไม่ได้ครับ
ซึ่งขอแนะนำว่า ไม่ต้องไปทำอะไร เพราะ ทำไม่ได้ เมื่อยังไม่มีปัญญา แต่อาศัยการฟังพระธรรมในเว็บนี้ ในหนทางนี้ไปเรื่อยๆ ครับ อยู่กับความจริง ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น อย่างน้อยก็เข้าใจว่า ยังไม่สามารถละปัญหาได้ แต่รู้ว่า เหตุของปัญหา คือ อะไร คือ กิเลสที่สะสมมา ก็เท่ากับว่า หาเหตุเจอแล้ว ก็อบรมธรรม ที่จะละเหตุเหล่านั้น คือ อบรมปัญญา ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม ดังเช่น พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี กว่าจะละปัญหา ละอกุศลได้ทั้งหมด ไม่ต้องเจอปัญหา คือ กิเลสเกิดขึ้นอีก ก็อบรมยาวนาน นับชาติไม่ถ้วนเลยครับ
ปัญหามี เพราะ อกุศล แก้ปัญหา ต้องใช้เวลา เพียงแต่รู้ว่าเหตุของปัญหาคืออะไร และก็อบรมเหตุที่จะละปัญหา ด้วยการฟังพระธรรม ส่วนความทุกข์และปัญหา ก็ยังจะต้องเกิดอยู่ เพราะยังมีกิเลส แต่หากเริ่มอบรมหนทางที่ถูกแล้ว สักวันก็จะละปัญหาได้ หมดครับ
ทุกคนก็เจอปัญหากันทั้งนั้น เพราะยังมีกิเลสที่ทำให้เกิดปัญหา แต่น้อยคนที่จะเข้าใจปัญหา และอบรมเหตุให้ดับปัญหาครับ ทางอื่นแก้ปัญหาได้ชั่วคราวและก็เกิดปัญหาอีก แต่ทางนี้ แม้ปัญหายังอยู่ ยังไงก็ต้องมีปัญหาในชีวิตอยู่ แต่ท้ายสุดก็จะหมดปัญหา หมดเหตุให้เกิดปัญหา คือ กิเลส เพราะอบรมปัญญาครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยความเข้าใจพระธรรมครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อได้เกิดมาในแต่ละภพในแต่ละชาติ เป็นผลสืบเนื่องมาจากยังมีกิเลสอยู่ ยังดับกิเลสอะไรๆ ไม่ได้ ย่อมมีทั้งสุขทั้งทุกข์ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และก็เป็นที่น่าพิจารณาว่า เมื่อเป็นทุกข์ มีความเดือดร้อนประการต่างๆ แล้วทำอะไร?
สามารถจำแนกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ มีทุกข์แล้ว มีปัญหาแล้ว ไม่กระทำกุศล ไม่ได้มีความสนใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่เป็นผู้ประมาท เพิ่มพูนอกุศลให้มีมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ มีทุกข์แล้ว มีปัญหาแล้ว กระทำกุศล สะสมที่พึ่งให้กับตนเอง เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต มีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย การได้รับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่มีใครทำให้ ขณะที่เกิดความทุกข์ใจ เศร้าโศกเสียใจ นั่นก็เป็นผลของการสะสมกิเลสของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น จะไปโทษใครๆ ก็ไม่ได้ บุคคลประเภทนี้ แม้ว่าจะมีความทุกข์ ความเดือดร้อนสักเท่าใด แต่ก็มีความมั่นคงที่จะกระทำกุศลต่อไป หนทางที่จะเป็นไปเพื่อละคลายขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา
และควรที่จะได้พิจารณาว่าในชีวิตประจำวัน ประโยชน์ของการมีชีวิต คือ เพื่ออบรมเจริญปัญญา จากที่ไม่เคยเข้าใจความจริง จากที่เต็มไปด้วยความมืดคือ อวิชชา ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญญาเจริญขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้มีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญาตามที่ตนมี เปลี่ยนจากที่เคยอยู่ด้วยกิเลสประการต่างๆ มากมาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นผู้อยู่ด้วยปัญญาและกุศลที่เพิ่มขึ้น ชีวิตเป็นสุขขึ้น ด้วยปัญญา ปัญหาจะค่อยๆ น้อยลง เมื่อปัญญาเจริญขึ้น เพราะแท้ที่จริงแล้ว กิเลส เป็นต้นเหตุของทุกข์ เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวง ปัญหามาจากจิตซึ่งเป็นไปกับด้วยกิเลสทั้งนั้น ปัญหาไม่ได้มาจากกุศลจิตเลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป และสะสมบุญและบาปต่อไป"
วิบากเป็นผลของกรรม
"ทำดีทุกๆ โอกาส เจริญกุศลบ่อยๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ"
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
"จงคิดเป็นกุศล"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิม, อ.คำปั่นด้วยครับ
ต้องมีสติ คิดถึงธรรมะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้คิดถึงกรรมเป็นหลัก ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราได้รับสิ่งที่ดี หรือไม่ดี เพราะเราทำเอง รักสุขเกลียดทุกข์ก็ต้องสะสมเหตุของความสุข คือการเจริญกุศล การทำความดีทุกอย่างค่ะ
ปัญหาหนักๆ ในชีวิต เป็นความทุกข์ และถ้าไม่ใช่ทุกข์ทางกายแล้ว ทุกข์ทั้งหมดที่มี เป็นทุกข์ทางใจทั้งสิ้น เมื่อลดความทุกข์ทางใจลง ปัญหาก็จะเบาบางลง
ดิฉันก็เคยเจอปัญหา (หนักเฉพาะดิฉันค่ะ) จนทุกวันนี้บางครั้งก็มืดบอด แต่พอเปิดเทป ฟังครั้งใดก็เหมือนกับเทปจะรู้ (คือว่าจะเป็นข้อธรรมขณะนั้นๆ ทุกครั้งไป) ทำให้รู้สึก อนุโมทนาด้วยทุกครั้ง ปัญหาของดิฉันเกิดขึ้นครั้งใด ก็จะนึกดูว่าเป็นทุกข์แท้หรือทุกข์เทียม ส่วนมากจะเป็นทุกข์เทียมค่ะ เช่น ... ระแวงสงสัย ... เทปตอนนั้นก็จะบอกว่า. เมื่อเรา เกิดคามระแวงขึ้นกับใคร ก็แสดงว่าเราขาดเมตตาไม่อยากเห็นเขามีความสุข ... เฮ้อ. เฮ้อ (อีกที) มันเป็นจริงเช่นนั้น ... แต่ประเดี๋ยวก็คิด. ประเดี๋ยวก็คิด ประเดี่ยวก็คิด ... ความคิดเห็นของดิฉันอาจไม่ได้ช่วยแก้ช่วยปลอบ แต่เป็นเพื่อนทุกข์ร่วมอยู่นะคะ สู้ๆ ๆ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พึงฟังธรรมของ สัตบุรุษ คลายทุกข์ทางใจได้ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ