สัตว์ประเสริฐ

 
pong100000
วันที่  5 ก.พ. 2555
หมายเลข  20494
อ่าน  12,760

คุณเชื่อเหมือนผมหรือไม่ เมื่อก่อนที่มนุษย์เริ่มมีการปกปิดร่างกาย มนุษย์ได้สวมใส่เสื้อผ้า จากปกปิดร่างกายบางส่วน และปกปิดมากขึ้นจนแทบจะไม่เห็นส่วนใดเลยของร่างกาย แต่ทุกวันนี้มนุษย์มีการเริ่มสวมใส่เสื้อผ้านั้นสั้นลงสั้นลง และในอนาคตมนุษย์คงจะไม่ใส่อะไรเลย แล้วเราจะอ้างตนเองนั้นว่าตนเองเป็นสัตว์ประเสริฐได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ประเสริฐสูงสุดของโลกทั้งหมด

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 487

พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจึงเรียกว่า ปสัฏฐัปปสัฏฐะ ประเสริฐกว่าผู้ประเสริฐ.


ในความเป็นจริง ความประเสริฐ วัดกันที่ การกระทำ ผู้ที่กรรมดี ประพฤติกาย วาจาและใจที่ดี ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ สัตว์จะประเสริฐ ไม่ใช่เพราะ การแต่งกาย ไม่ใช่ ฐานะ ไม่ใช่เพราะตระกูล วรรณะ แต่ประเสริฐเพราะการกระทำ

ผู้ที่ประพฤติธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมถึงความประเสริฐสูงสุดได้ เพราะ ไม่มีกิเลส สิ่งที่ไม่ประเสริฐ คือ กิเลส ดังนั้น ความไม่ประเสริฐจึงเป็นเรื่องของนามธรรม ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงการแต่งกายภายนอก แต่มองเห็นได้ด้วยตา คือ ปัญญา คือ เห็นตามความเป็นจริง คือ ผู้ที่ไม่มีกิเลส คือ ผู้ประเสริฐ ผู้ที่ยังมีกิเลส ย่อมยังไม่ชื่อว่าผู้ประเสริฐอย่างแท้จริงครับ

มนุษย์ ที่แท้จริงที่เป็นมนุษย์ประเสริฐ คือ ผู้ที่เป็นมนุษย์ที่ตั้งอยู่ในมนุษยธรรม คือตั้งอยู่ในคุณความดีประการต่างๆ และงดเว้นอกุศลกรรมประกาต่างๆ ชื่อว่าเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ สมดังพระพุทธพจนที่ว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 5 ก.พ. 2555

[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่มที่ ๔๘ - หน้าที่ 34

ส่วนผู้ใด รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ของตน เชื่อผลแห่งกรรม มีหิริ (ละอายบาป) โอตตัปปะ (เกรงกลัวบาป) สมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง มากไปด้วยความสลดใจ งดเว้นอกุศลกรรมบถ ประพฤติเอื้อเฟื้อในกุศลกรรมบถ บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุทั้งหลาย ผู้นี้ตั้งอยู่ในมนุษยธรรม ชื่อว่า มนุษย์โดยปรมัตถ์ (มนุษย์ที่แท้จริง)


ซึ่งการจะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐได้ ก็ต้องค่อยๆ ละสิ่งไม่ประเสริฐ คือ กิเลสประการต่างๆ ด้วยการศึกษาพระธรรม อบรมปัญญาไปทีละน้อยๆ ก็จะค่อยๆ ประเสริฐขึ้น ซึ่งสัตว์จะประเสริฐได้ ก็เพราะคุณธรรม คือ ปัญญา เพราะปัญญานั่นเอง ย่อมทำให้สัตว์ประเสริฐจากกิเลสที่ไม่ประเสริฐได้อย่างแท้จริง ด้วยการศึกษา ฟังพระธรรมครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
homenumber5
วันที่ 5 ก.พ. 2555

เรียนท่านเจ้าของกระทู้และท่านวิทยากร

อนุโมทนาในคำอธิบายของอ.ผเดิม

หากคนผ่านการศึกษาระดับต่างมาแล้วย่อมรู้ว่า การดำเนินชีวิต หรือการเรียนวิทยาการศาสตร์ใดๆ ล้วนมีกฎเกณฑ์ มีสูตร สมการ เช่นสูตรการทำระเบิดปรมาณู คนทั่วโลกยอมรับ แม้คนที่เรียนน้อย ต้องยอมรับเพราะเห็นผลการทำลายล้างของมันมาแล้ว เวลาเรียเลขต้องยอมรับว่าต้องท่อง สูตรคูณ

เพราะเราเชื่อว่าสูตรเหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์พิสูจน์มาแล้ว แต่เรื่องพระธรรมซึ่งมีประวัติการสังคายนาทั้งในประเทศ ต่างประเทศและบันทึก จนมีการเผยแพร่และสิกขากันแพร่หลาย มีผู้นำด้านต่างๆ ที่สมองดีเรียนเก่งเคยเป็นอาจารย์ แพทย์วิศวกร มาสิกขา ดังปรากฏในเวลาที่ อ. สุจินต์ สนทนาธรรมในที่ต่างๆ หรือการที่ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา มีคนหลายพันล้านนับถือ มีคนหลายล้านไปนมัสการสังเวชนียสถานในทุกปี (เรื่องจริง) แล้วทำไมบางคนกลับไม่เชื่อตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ข้อนี้จึงเป็นเรื่องปกติในครั้งที่ชฎิลสามพี่น้องและบริวารหนึ่งพัน ออกบวชในสำนักพระพุทธเจ้า อ. สัญชัย กระอักเลือดและกล่าวว่า คนฉลาดก็จงไปสำนักพระพุทธเจ้าและคนโง่จงอยู่กับเราต่อไอ อ. สัญชัยว่าคนโง่มีมากกว่าคนฉลาด ท่านจะเป็นอาจารย์ ของคนโง่ พระธรรมของพระพุทธเจ้ายาก ลึกซึ้ง เข้าใจยาก อย่างที่ อ. ผเดิมว่า พระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 5 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การที่จะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐได้ ก็ด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นผู้ที่ประเสริฐได้ บุคคลผู้ประเสริฐสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามด้วย บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามระดับขั้นของความเข้าใจของตนเอง เห็นประโยชน์ที่แท้จริงว่า ในชีวิตนี้ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก และ เมื่อมีปัญญาแล้ว การดำเนินชีวิต ก็จะเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ คล้อยตามความเจริญขึ้นของปัญญานั่นเอง ค่อยๆ เป็นบุคคลผู้ประเสริฐไปตามลำดับ

จนกว่าจะถึงการดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น เป็นพระอรหันต์ โดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกเลย ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 6 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ประเสริฐสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

"ปัญญานั่นเองย่อมทำให้สัตว์ประเสริฐ"

ปัญญาเกิดได้ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟ้งพระธรรมให้เข้าใจ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pong100000
วันที่ 6 ก.พ. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 20494 ความคิดเห็นที่ 1 โดย paderm

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ประเสริฐสูงสุดของโลกทั้งหมด

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 487

พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจึงเรียกว่า ปสัฏฐัปปสัฏฐะ ประเสริฐกว่าผู้ประเสริฐ.

-------------------------------------------------------------------------------

ในความเป็นจริง ความประเสริฐ วัดกันที่ การกระทำ ผู้ที่กรรมดี ประพฤติกาย วาจา

และใจที่ดี ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ สัตว์จะประเสริฐ ไม่ใช่เพราะ การแต่งกาย ไม่ใช่ ฐานะ

ไม่ใช่เพราะตระกูล วรรณะ แต่ประเสริฐเพราะการกระทำ

ผู้ที่ประพฤติธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมถึงความประเสริฐสูงสุดได้

เพราะ ไม่มีกิเลส สิ่งที่ไม่ประเสริฐ คือ กิเลส ดังนั้น ความไม่ประเสริฐจึงเป็นเรื่องของ

นามธรรม ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงการแต่งกายภายนอก แต่มองเห็นได้ด้วย

ตา คือ ปัญญา คือเห็นตามความเป็นจริง คือ ผู้ที่ไม่มีกิเลส คือ ผู้ประเสริฐ ผู้ที่ยังมี

กิเลส ย่อมยังไม่ชื่อว่าผู้ประเสริฐอย่างแท้จริงครับ

มนุษย์ ที่แท้จริงที่เป็นมนุษย์ประเสริฐ คือ ผู้ที่เป็นมนุษย์ที่ตั้งอยู่ในมนุษยธรรม คือ

ตั้งอยู่ในคุณความดีประการต่างๆ และงดเว้นอกุศลกรรมประกาต่างๆ ชือ่ว่าเป็นมนุษย์

อย่างแท้จริง เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ สมดังพระพุทธพจนที่ว่า

ถ้าคุณบอกว่าความประเสริฐวัดกันที่การกระทำนั้น การที่คุณแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ใช่การกระทำรึ ตัวอย่างก็มีให้เห็นไป แท็กซี่ข่มขืนลูกค้าก็มีมาแล้ว การที่คุณบอกว่าความไม่ประเสริฐจึงเป็นเรื่องของนามธรรม ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงการแต่งกายภายนอก แต่มองเห็นได้ด้วยตา คือ ปัญญา คือเห็นตามความเป็นจริง คือ ผู้ที่ไม่มีกิเลส คือ ผู้ประเสริฐ แล้วคุณรู้ได้ไงว่าผู้ที่แต่งกายไม่สุภาพเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลส

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 6 ก.พ. 2555

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

ผมใช้คำว่าการแต่งกายภายนอก ไม่ได้ใช้คำว่า การแต่งกายไม่สุภาพครับ จากความเห็นที่กระผมตอบ ซึ่งการแต่งกายภายนอก ไม่ได้หมายความว่า จะหมายถึง การแต่งกายไม่สุภาพ ครับ ความหมายกำลังหมายถึง เช่น พระภิกษุ อย่างเช่น พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้แต่งกายอย่างพระราชา สวยงาม แต่แต่งกายเพียงปกปิด แต่คุณธรรมของพระองค์อยู่ข้างใน ที่เห็นด้วยปัญญา ครับ ไม่ได้อยู่ที่การแต่งกายภายนอกครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 7 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
homenumber5
วันที่ 18 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้และทุกความเห็นค่ะ แม้ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า แต่มีความพยายามแสวงหาสัจจธรรมนั้น น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี ว่ายังมีความพยายามในการแสวงหา ขอให้ได้คำตอบเร็วๆ และได้พบพระสัจจธรรมที่แท้จริงด้วยค่ะ ที่อนุโมทนา คือ ดิฉันมีเด็กในปกครองที่มีความคิดแบบคุณ Pong1000000 และดิฉันพยายามหาคำตอบที่เหมาะสมแก่เขาเพราะเขายังวัยรุ่นอยู่ หากอธิบายแบบ อ.ผเดิม, อ.คำปั่น เขาจะแย้งแบบเจ้าของกระทู้แบบนี้ แต่ดิฉันก็ไม่ท้อใจที่จะหาคำตอบให้เขา เพราะโลกทุกวันนี้ แม้นักวิชาการส่วนมาก ก็มีแนวโน้ม คิดว่า สิ่งมีจริงคือที่ปรากฏและสัมผัสได้ และไม่ค่อยยอมรับ สัจจนิยม (ความเชื่อว่า ความจริงมีอยู๋แต่ขาดเครื่องมือพิสูจน์เท่านั้น) เคยดูหนังนักวิทยาศาสตร์ ไอสไตน์นั้นมีความคิดแบบสัจจนิยม เขาเชื่อว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน และใช้เวลาค่อนชีวิตพิสูจน์และสามารถอธิบายวงโคจรของดาวพุธได้ด้วยทฤษฎีนี้ จนโลกยอมรับ เพราะ สูตรของเขา สามารถสร้างปรากฏการณ์ พลิกโลกพลิกแผ่นดิน ในสงครามโลกครั้งที่สอง ลองทบทวนดูว่า หากโลกขาดคนที่เชื่อว่า ความจริงนั้นมีอยู่ แต่ต้องแสวงหา เครื่องมือในการค้นพบและนำมาใช้ประโยชน์ ทุกวันนี้ ชาวโลกคงไม่หลงใหล สตีฟ จ็อบส์ ไม่มี มอร์เตอร์ ไดนาโม คลื่นวิทยุ ระบบคอมพิวเตอร์ จริงไหมคะ แล้วลองจำลองภาพว่า หากเป็นเช่นนั้น คนในโลกจะเป็นอย่างไร

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ