ชาติหน้า
รู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้านั้นมีจริง เอาอะไรเป็นตัววัดตัวตัดสิน บางครั้งชาติหน้าอาจจะมีจริงก็ได้ไม่มีจริงก็ได้ เพราะทุกคนต่างก็ไม่รู้ แต่ทำไมทุกคนถึงเชื่ออย่างนั้น ยกตัวอย่างนะครับ สมมติว่ามีส้มอยู่ ๑ ตะกร้า เรากินส้มไป ๑๐ ลูก แล้วส้มที่กินไปนั้นมีรสหวานทั้งๆ ที่เรากินไม่หมด แต่เรากลับฟันธงว่าส้มตะกร้านี้หวาน บางครั้งอาจจะมีส้มที่ไม่หวานสัก ๑ ลูก ๒ ลูก หรือ ๑๐ ลูกก็ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของชาติหน้าไม่สมควรฟันธงว่ามีอยู่จริง แต่เราสามารถสงสัยได้แต่ไม่ควรฟันธง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูก ศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงจะเชื่อ และเห็นคล้อยตามในเรื่องภพภูมิข้างหน้า มี นรก สวรรค์ หรือ ชาติหน้า เป็นต้นครับ แต่ผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญา ศรัทธา มาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นแรื่องยาก ที่จะเชื่อ เพราะเหตุว่าเหตุการณ์ หรือ สถานที่นั้น ชาติหน้า เขายังไม่เห็น และเวลานั้น ยังมาไม่ถึงครับ อย่างไรก็ตาม ก็ขออธิบาย ตามแนวให้พอเข้าใจในเรื่อง สวรรค์ และ นรก ว่ามีจริง หรือไม่ และในเรื่องชาติหน้าครับ
ชาติหน้า และ นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก และชาติหน้า เพื่อให้เห็นว่า กรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว จึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะ เป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง
ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไม บางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมานทางกายมากกว่าคนอื่น ทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับทุกข์ ผู้ที่ได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ดีคือการกระทำกุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจาก เหตุที่ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ นี่แสดงถึงว่า เมื่อมีเหตุ ก็ย่อมมีผล
ซึ่งในเรื่องของกรรมนั้น การกระทำที่เป็นกรรม ไม่เป็นโมฆะ คือ จะต้องให้ผล ตามสมควรแก่กรรม แต่กรรมมีกาลเวลาให้ผล กรรมบางอย่างให้ผลชาตินี้ กรรมบางอย่าง ให้ผลชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดไป ดังนั้น เมื่อมีการทำกรรม ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม และหากกรรมนั้นให้ผลชาติหน้า ก็ให้ผลเมื่อตายจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่เช่นนั้น การกระทำที่ดี หรือ ไม่ดีก็เป็นโมฆะไปหมด หากว่า ชาติหน้าไม่มีจริง การ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วจบ การทำความดี ก็ไม่มีผล ตายแล้วจบ แต่ความจริง เมื่อมีการทำกรรมแล้ว ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม ซึ่งเมื่อยังไม่ให้ผล ยังไม่ได้รับผลของกรรม จะกล่าวว่าไม่มีกรรมไม่ได้ และสิ่งที่ยังไม่เกิด จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ หาก ไม่มีชาติหน้า ก็เท่ากับว่า ชาติก่อนก็ไม่มี เพราะ ชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้าของชาติก่อน นั่นเองครับ และหากเป็นเช่นนั้น สัตว์โลกก็เกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็ไม่มี แต่ทำไมชาตินี้บางคนถึงมีความแตกต่างกันทั้งร่างกาย แตกต่างกันทั้ง ยศ ตำแหน่ง ฐานะ แตกต่างกันเพราะอะไร และการได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดีในชาตินี้ก็แตกต่างกันเพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะมีการทำกรรมในอดีตชาติไว้นั่นเองครับ ดังนั้น ก็ต้องมีชาติก่อนที่มีการทำกรรม เมื่อมีชาติก่อน ก็ต้องมีชาติหน้า เพราะชาตินี้ คือ ชาติหน้าของชาติก่อนครับ แม้ส้มเราชิมลูกเดียว อีกสิบลูกที่เหลือจะบอกว่ามีรสเดียวกันก็คงไม่ได้ อันนี้ก็ถูกต้องในส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ไ่ด้หมายความว่า สิ่งที่ยังไม่ถึง จะสรุปว่าสิ่งนั้นไม่มี ไม่ถูกต้อง ครับ
คำถามคือ เมื่อวานมีไหมครับ มี วันนี้มีไหมครับ ก็มีอยู่ และจะมีพรุ่งนี้ไหม ก็อาจจะบอกว่าไม่มีก็ได้ และ ถ้ากล่าวว่า เมื่อวานมี วันนี้มี ซึ่งเมื่อวาน วันนี้ก็มีอยู่แล้ว ปรากฏผ่านไปแล้วด้วย นั่นก็เท่ากับแสดงว่า มี พรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนี้ คือ พรุ่งนี้ ของเมื่อวานนั่นเองครับ
ขออนุโมทนา
และถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หากค่อยๆ ย่อยระยะเวลา ยาวนาน ที่เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น ๓๐ ปีข้างหน้า ๒๐ ปีข้างหน้า ๑๐ ปีข้างหน้า ๑ ปีข้างหน้า ๑ เดือนข้างหน้า พรุ่งนี้ ๖ ชม.ข้างหน้า ๑ ชั่วโมงข้างหน้า ๑ นาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ นาทีข้างหน้าหรือไม่ครับ ๑ วินาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ วินาทีข้างหน้าหรือไม่ แม้ยังมาไม่ถึง และที่สำคัญที่สุด ที่มีชาติหน้า มีเวลา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น จิต ที่เกิดดับไปทีละขณะ ชาติหน้า ก็คือ จุติจิต (ตาย ชาตินี้) ดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิด ชาติหน้า) ก็เป็น จิตที่เกิดดับสืบต่อทีละขณะนั่นเองครับ
ดังนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัย มีกิเลสอยู่ ก็มีการเกิดดับของจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน ทำให้มีระยะเวลา มี ๑ วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า เพราะมีการเกิดดับของจิตทีละขณะนั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนา
ถ้าใครไม่เชื่อเรื่องชาติหน้ามีจริง เขาก็จะไม่เชื่อเรื่องบุญบาป เขาก็จะไม่เห็นคุณของการศึกษาพระธรรม ไม่เห็นคุณของการทำความดี โอกาสที่เขาจะทำบาปกรรม หรืออกุศลกรรม ก็จะมีเยอะมาก และถ้าตายจากมนุษย์ ก็ไปเกิดในอบายภูมิ ค่ะ
ถ้าชาติหน้าไม่มี ความเกิดต้องไม่มี ความแก่ต้องไม่มี ความตายต้องไม่มี ต้องอยู่คงกะพันสิครับ เส้นผม บังคับไม่ให้หงอกได้ไหมครับ ร่างกายบังคับไม่ให้แก่ได้ไหมครับ จะเห็นได้ว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เราบังคับบัญชาอะไรได้บ้าง ถ้าเข้าใจพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะเข้าใจความเป็นจริง ขณะจิตเดียวเท่านั้นที่เกิดดับ รู้อารมณ์เพียงฟ้าแลบก็หมดไปแล้ว นี้แหละครับ สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันที่เราเห็นได้ง่ายๆ
ขอให้ท่านฟังธรรมมะ เข้าใจธรรมมะ ท่านก็จะเข้าใจตามความเป็นจริง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิญญาตนว่าเป็นชาวพุทธก็คือผู้ที่ศรัทธา คือเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ประกอบด้วยเหตุผลพิสูจน์ได้ พระไตรปิฎกคือคัมภีร์ที่จารึกพระธรรมของพระพุทธองค์ และในพระไตรปิฎกมีกล่าวกรรมและผลของกรรม ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว การเกิดสืบต่อกันของขันธ์ อายตนะ เป็นต้น ชื่อว่า สังสารวัฏฏ์
ในชาตินี้ ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่จึงมีวันนี้ เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีที่แล้ว ก็มี และถอยไปเรื่อยๆ อีก ก็คือ ชาติที่แล้ว ส่วนอนาคตก็คือ การเกิดสืบต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเอง ที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ก็มี สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ๑๐ ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์ ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น ๒๐๐ ๕๐๐ พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล
การที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า นั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผล และไม่เชื่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ซึ่งเป็นผู้มีความเห็นผิด และสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้โดยง่าย เพราะเข้าใจว่าชาติหน้าไม่มี ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"รู้ได้ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ"
"เอาปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกเป็นตัวพิจารณาตัดสินครับ"
"ถ้าปัญญาเกิดก็หมดความสงสัยครับ"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
เรียนท่านเจ้าของกระทู้ ท่านวิทยากร และทุกความเห็น
ขอให้ท่านวิทยากรช่วยแก้ไขหากมีความผิดพลาดจากพระไตรปิฎกด้วยค่ะ
ปัญญา เป็นคำไทยที่ยืมมาจากคำมคธ พระพุทธองค์ทรงยืมคำมคธ มาใช้ในภาษาที่พุทธองค์ทรงเทสนา ในพระอภิธัมม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ปัญญาเจตสิก เป็นองค์ธรรมที่อยู่ในโสภณเจตสิก (๒๕เจตสิก) ลำดับสุดท้ายสัทธาเจตสิกเป็นโสภณเจตสิกลำดับแรกตามด้วยสติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ...
เห็นไหมคะว่า หากสัทธาเจตสิกไม่มาทำงานกับจิต (โสมนัสญาณสัมปยุตกามาวจรมหากุสลจิต) โสภณเจตสิกอื่นๆ จะไม่ทำงานตามๆ กันมา และกว่าปัญญาเจตสิกจะทำงาน วิรตีเจตสิก ๓ ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เจตสิกจะควบคุม กายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ได้เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น คำว่าปัญญากับปัญญาเจตสิกในพระอภิธรรม เขียนเหมือนกันเพราะยืมมาใช้ แต่ความหมายในพระอภิธัมม ลึกซึ้งมากกว่ามากๆ กว่าปัญญาเจตสิกมาทำงาน จิตต้องสามารถควบคุมกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ไม่ให้ออกมาแล้วแค่ควบคุมในญาณสัมปยุตตจิมหากุสล (ใช่ไหมคะท่านวิทยากร)
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
ควรเข้าใจว่า สภาพธรรมเกิดพร้อมกันและทำหน้าที่แต่ละอย่างกันตามเหตุปัจจัย และต้องเข้าใจครับว่า ไม่มีสภาพธรรมที่จะมาควบคุม จิตไม่ไ่ด้ควบคุม จิตทำหน้าที่รู้อารมณ์เท่านั้น เมื่อกุศลจิตเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้น พร้อมๆ กัน ซึ่ง กุศลจิตเกิดขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องมี วิรตีเจตสิก และ ปัญญาเจตสิก (โมหเจตสิก) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ซึ่ง ปัญญาในพระพุทธศาสนา มีหลายระดับ ทั้งการรู้ว่ากรรมมี ผลของกรรมมี ปัญญาในสมถภาวนา ปัญญาในฌาน ปัญญาในวิปัสสนา ปัญญาในมรรค และปัญญาในผล ซึ่งก็แบ่งเป็นหลายระดับ ไม่ไ่ด้จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องลึกซึ้ง ระดับสูงสุด เท่านั้นครับ ดังนั้น เมื่อพูดคำว่าปัญญาก็ต้องดูว่า เนื้อความนั้น มุ่งหมายถึงเรื่องอะไร ก็จะเป็นปัญญาระดับนั้น แต่เมื่อเป็นปัญญาแล้ว ก็ต้องเป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริง แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นก็แล้วแต่ว่ากล่าวถึงปัญญาในเรื่องอะไรอยู่ครับ ซึ่ง ปัญญา เกิดโดยไม่มีวิรตีเจตสิกก็ได้ วิรตีเจตสิกเกิด ไม่มีปัญญาก็ได้ แต่ขณะที่เป็นมรรคจิต ผลจิต จะต้องมีวิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวง เกิดพร้อมปัญญา ทำกิจหน้าที่ดับกิเลส เป็นต้น ครับ จึงไม่มีสภาพธรรมใดควบคุม ธรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยและทำหน้าที่กันไปตามหน้าที่ของตนครับ
ขออนุโมทนา
พบข้อความจากหนังสือธรรม บางเล่มเขียนว่า การวิปัสสนาจะทำไม่ได้ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ดิฉันเข้าใจว่า วิปัสสนาคือการใช้ปัญญา และ ศีลคือควบคุมกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ให้ได้ก่อนซึ่งน่าจะสอดคล้องกับ ความเห็นที่ 8 ขอคำชี้แนะจากท่านวิทยากรด้วยค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 10 ครับ
ศีลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ดังนั้น เจริญวิปัสสนาได้ แม้ยังไม่ถึงความบริสุทธิ์ของศีล แต่เมื่อปัญญาถึงพร้อมดับกิเลสได้ ย่อมถึงความบริสุทธิ์ของศีลได้ ด้วยปัญญาครับ
ขอนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
การที่ท่านตอบว่าเมื่อวานมี และตอบต่อไปว่า วันนี้ ก็มี นั่นก็เท่ากับท่านเองได้ยืนยันคำตอบแล้วว่า ได้มีพรุ่งนี้ที่ผ่านมาแล้ว เพราะ วันนี้คือ พรุ่งนี้ของเมื่อวานครับ ดังนั้น พรุ่งนี้มี เพราะ พรุ่งนี้ก็ได้มีมาแล้วครับ
วันนี้วันจันทร์ ที่ ๖ กุมภา เมื่อวานวันอาทิตย์ ๕ กุมภา เมื่อวานมีไหม มี เพราะผ่านมาแล้ว และ วันจันทร์ใช่วันพรุ่งนี้ของวันอาทิตย์หรือไม่ครับ ถ้าใช่ วันนี้วันจันทร์ที่ ๖ กุมภา คุณได้ผ่าน วันพรุ่งนี้ (วันจันทร์) ของ วันอาทิตย์ ที่ ๕ กุมภา มาหรือยังครับ?
ร่วมสนทนาถามบ้างนะครับ
คำถามที่ ๑. จากที่ยกมาในเรื่องพรุ่งนี้ เมื่อวาน คำถามมีว่า พรุ่งนี้ได้เคยมีมาหรือยังครับ
คำถามที่ ๒. เมื่อมีพรุ่งนี้ผ่านมาแล้ว แสดงว่า มีเรื่องพรุ่งนี้จริงใช่ไหมครับ คำถามข้อนี้ ไมไ่ด้ถามว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่นะครับ ถามว่า เรื่องพรุ่งนี้ มีจริงใช่ไหมครับ เพราะวันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภา เป็นเมื่อวานของวันจันทร์ที่ ๖ กุมภา วันจันทร์ที่ ๖ กุมภา จึงเป็นวันพรุ่งนี้ของวันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภา และได้ผ่านกับผมและคุณมาแล้ว ครับ
ส่วนเรื่องกรรม ถ้าคุณทำร้ายผมก็ต้องเป็นผลของกรรม ที่เป็นวิบากของผมเอง ที่จะต้องได้รับไม่ใช่ใครอื่น ถูกต้องครับ ไม่ใช่คนอื่นจะมารับกรรมแทนผมที่ทำกรรมไว้ ทำให้คุณทำร้ายผมได้ ทำไมไม่ทำร้ายคนอื่น ส่วนคุณที่ทำร้าย ก็สร้างเหตุใหม่ที่จะต้องถูกทำร้าย เมื่อกรรมนั้นให้ผลเช่นกัน กรรมของใครก็ของคนนั้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
ถ้าท่านอยากจะประจักษ์ด้วยตนเองก็ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ
"กรรมยุติธรรมเสมอ"
"เหตุดีผลก็ย่อมดี"
"สัตว์โลกมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ
ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้นไม่ช้าก็เร็ว"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิมและทุกท่านครับ
ชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือ อะไรหนอ ... ชาติหน้าถ้าท่านมีวาสนาได้เกิดมาเป็นคนอีก ท่านก็คงคิดว่า ชาติต่อไป หรือ ชาติที่แล้วไม่ได้มีอยู่จริงเหมือนที่ท่านกำลังถามเหตุผลเพื่อหาความเชื่อมโยง ... ผมเพียงจะบอกว่า นี่แหละคือความความน่ากลัว ของการเกิดและสังสารวัฏฏ์ เพราะมัน จำตัวเองไม่ได้นั่นเอง ... ตัวท่านก็เหมือนกับหลายคนๆ ที่โดนหลอก ใครล่ะ ที่หลอก อวิชชาไงล่ะ ... อวิชชาคือ อะไร .. ล่ะ คือ เหตุที่ทำให้ท่านกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไงล่ะ ...
เมื่ออ่านกระทู้นี้ทำให้นึกถึงสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำขึ้นมา ถึงในสิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ท่านทรงชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากเหตุและปัจจัย ทรงแนะนำให้นึกระลึกถึงเฉพาะปัจจุบัน จนกระทั่งเป็นปัจจุบันขณะจริงๆ .
เวลาคนกลุ่มนึงพูดว่าพรุ่งนี้ไม่มีจะมีก็แต่เมื่อวานและเมื่อวานที่ผ่านๆ มาในอดีต เพราะสัมผัสมาแล้ว และมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ค้านว่าอดีตไม่มี ถ้ามีจริงก็เอามาให้ดู ให้จับหน่อย มันมีแต่อนาคตต่างหาก เพราะถ้าไม่อาบน้ำและตากเหงื่อตากไคลซักห้าวันก็จะรู้ว่าอนาคตในวันที่หกนั้นเหม็นขนาดไหนถ้าไม่ตายไปซะก่อน
ในความเห็นส่วนตัว เหมือนกับว่าคนสองกลุ่มนี้กำลังพูดถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่เป็นไปด้วยเหตุและปัจจัย แต่ต่างคนต่างมองไม่เห็นภาพ ถ้ามีผู้มาชี้ให้เห็นว่าการกระทำเมื่อวานหรือที่ผ่านมาก็คือกรรม (การกระทำ) ที่ผ่านมาในอดีต ตอนนี้ (ปัจจุบัน) เป็นเช่นนี้ด้วยเหตุกรรมที่ผ่านมา ส่วนอนาคตที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเหตุกรรมในอดีต และตอนนี้ หากมีผู้ที่ไม่เข้าใจและไม่เชื่อ ก็คงจะหาเหตุหาผลนานาประการมาค้าน แล้วก็คงจะมีผู้ที่มาค้านกันต่อๆ ไป ไม่รู้จบสิ้น จนอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ ด้วยความคิดนี้ ยิ่งทำให้ซาบซึ้งถึงคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นจริงๆ ค่ะ ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านทั้งหลายด้วยค่ะ
ความเชื่อ และการคล้อยตามย่อมเกิดขึ้นได้จากการพิจารณาอย่างมีเหตุมีผลจนเกิดความเข้าใจของตัวเอง จริงอยู่ว่าเราไม่อาจล่วงรู้ถึงชาติหน้าได้ และเมื่อชาติหน้าก็ไม่สามารถล่วงรู้อดีตได้ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าลองพิจารณาว่าทำไมคนเรา หรือสัตว์ทั้งหลาย ถึงเกิดมาต่างกัน ไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิดเลยสักคนเดียว ถ้าไม่มีเหตุที่สะสมมาก่อนที่ต่างๆ กัน ก็คงไม่มีผลที่ต่างๆ กันในชาตินี้
การคิดถึงเรื่องไกลตัว เรื่องที่ไม่สามารถรู้ได้ ยังวนเวียนอยู่กับความสงสัยและไม่สามารถหาคำตอบได้ คิดเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเอง ก็ไม่พ้นอำนาจของอวิชชา ก็จะเสียเวลาเปล่า
สิ่งที่ผู้อื่นกล่าว บุคคลรับฟัง บุคคลพิจาราณาไตร่ตรอง บุคคลนั้นคล้อยตาม บุคคลนั้นต่อต้าน ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลนั้นๆ แต่ในการรับฟังสิ่งใดก็ตาม ถ้ารับฟังด้วยความเป็นกลางและพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผล ตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียนอาจารย์ผเดิม ตามที่อาจารย์ แสดงไว้ว่า ปัญญาในพระพุทธศาสนา มีหลายระดับ ทั้งการรู้ว่ากรรมมีผลของกรรมมี ปัญญาในสมถภาวนา ปัญญาในฌาน ปัญญาในวิปัสสนา ปัญญาในมรรค และปัญญาในผล ซึ่งก็แบ่งเป็นหลายระดับ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องลึกซึ้ง ระดับสูงสุด ขอความกรุณาช่วย แนะนำ รายละเอียด มีแสดงไว้ที่ใดในพระอภิธรรมบ้าง
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 24 ครับ
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 211
ในบทว่า ปญฺวนโต อชฬา อเนฬมูคา นี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญาเหล่านี้ คือ
กัมมัสสกตปัญญา ๑
ฌานปัญญา ๑
วิปัสสนาปัญญา ๑
มัคคปัญญา ๑
ผลปัญญา ๑
ชื่อว่าผู้มีปัญญา.
เชื่ออย่างคนที่มีปัญญา
เราควรศึกษา และเข้าใจให้ได้ แม้ห่างไกลก็จะเข้าใจทีละเล็กละน้อยอย่างที่ทุกท่านให้ความเห็นกัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานั้น ให้เชื่อตามเหตุผล และต้องตรงจากความเป็นจริง และจะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ
ไสยศาตร์ กับวิทยาศาตร์ ต่างกันราวฟ้ากับดิน อันไหนพิสูจน์ได้ อันไหนพิสูจน์ไม่ได้ เราควรทำความดีในปัจจุบัน สวรรค์ในอก นรกในใจ กฎหมายบ้านเมืองก็มี ทำตัวไม่ดีผิดกติกาสังคม ก็ตกเป็นจำเลยสังคมอีก มันก็เหมือนตกนรก นี่ขนาดทางโลกก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว ถ้าทางธรรมอีก อันนี้เป็นของจริงแน่นอน
ถ้าสมมติ (ไม่ควรสมมติ) มีผู้ยิงระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์มายังแถบเอเชียเฉียงใต้ หรือแถบใดก็ตาม หรือมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นซึ่งทำให้โลกดับสูญแตกสลายไป แล้วเราจะไปใช้กรรมดีกรรมชั่วกันที่ใดบริเวณใด ถ้าตอบว่าอีกนานแสนนาน ก็ควรเอาหลักวิทยาศาตร์ที่พิสูจน์ได้มาให้ความคิดเห็นกันครับ หาใน Google มากมาย
พระพุทธองค์ ยังทรงสอนในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยัง เกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน (เรื่องหลัก กาลามสูตร ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนา)
๑. อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
๒. ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
๓. อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
๔. ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
๕. ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
๖. เนยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
๗. อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
๘. ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
๙. ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
๑๐. สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ทรงดักปัญหาไว้หมดแล้วครับ
ขออนุโมทนา