ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณเกรียงศักดิ์ ๒๗ ม.ค. ๒๕๕๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา คุณเกรียงศักดิ์ อินทราวิชกุล (พี่ขาว)
ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
ไปสนทนาธรรมที่บ้านในซอยรัชดาภิเษก ๔๒ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
บ้านของพี่ขาว เป็นบ้านจัดสรรรุ่นเก่าเมื่อราวสามสิบปีก่อน พี่ขาวเล่าว่า คุณพ่อของท่าน
มาซื้อไว้ติดกันสามหลัง เพื่อให้ลูกๆ อาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นบ้านที่ดูอบอุ่น น่ารัก อยู่สบาย
ความที่ท่านเจ้าของบ้านทำงานด้านสายการบิน มีโอกาสเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลก
จึงตบแต่งบ้านด้วยของที่ระลึกจากเมืองต่างๆ ที่ท่านเดินทางไปเยือน
ซึ่งหากคำนวณด้วยสายตาว่าของที่ระลึกหนึ่งชิ้น ต่อหนึ่งสถานที่ ก็แสดงให้เห็นว่า
ที่ผ่านมา พี่ขาวเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ทั่วโลกอย่างมากมายจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ และ คุณป้าจี๊ด น้องสาวของท่านอาจารย์ เดินทางมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย
ท่านได้ทักทายกับคณะเพื่อนร่วมชั้นเรียนของพี่ขาว ที่พี่ขาวชักชวนมาฟัง
รวมถึงคุณพี่คนหนึ่งที่เป็นแม่ค้าขายของในตลาดบางเขน ที่พี่ขาวไปจ่ายกับข้าวบ่อยๆ
แล้วพบว่าท่านเปิดวิทยุฟังท่านอาจารย์ทุกเช้า จึงได้ชักชวนมาฟังด้วยในวันนี้
การสนทนาธรรมในวันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่มีความประทับใจข้าพเจ้าเช่นเคย
ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้เห็นถึง ความศรัทธา การที่ได้มีโอกาสพบพระธรรมของบุคคล
การที่บุคคลเห็นประโยชน์ ที่จะได้เข้าใจความจริงในชีวิต ได้เข้าใจในพระปัญญาคุณ
พระมหากรุณาคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความไม่ไร้ประโยชน์ของการได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ได้พบและเข้าใจพระธรรม
เป็นโอกาสที่หาได้ยากในสังสารวัฏฏ์ ที่บุคคลจะมีโอกาสสะสม อบรมเจริญปัญญา
อันมีค่ากว่าทรัพย์สมบัติใดในโลก เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์ได้ ในวันหนึ่ง
ข้าพเจ้าจึงใคร่ขออนุญาตินำความบางตอนจากการสนทนาในวันนั้น มาฝากทุกท่านดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ ก็ทราบว่าหลายท่าน ได้ฟังมาแล้วนะคะ แล้วก็เป็นที่อนุโมทนาอย่างยิ่ง ค่ะ ที่คุณขาว เล่าให้ฟัง บอกว่าเวลาที่ไปตลาด นะคะ ก็ได้ยินเสียงธรรมะ เนี่ยค่ะ คุณขาวก็คงจะตื่นเต้น ไม่คิดว่าจะได้ฟัง นะคะ แต่ก็ขออนุโมทนา ที่ไม่ว่าจะจุดไหนที่มีการฟังธรรมะ นะคะ ก็ไม่จำกัดเลยว่าที่ไหน เพราะว่า เป็นสิ่งที่หายาก โอกาสที่ ขณะนั้นน่ะค่ะ ก็คงจะทำอย่างอื่นไปด้วย แต่ก็ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมะด้วย คือ ไม่ทิ้งโอกาส ที่จะได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่า เป็นสิ่งที่ยาก นะคะ แต่ว่า การสะสมศรัทธามาแล้วในอดีต ก็ทำให้เป็นผู้ที่มีเหตุผล แล้วก็เป็นผู้ที่ ตรงต่อพระธรรม เพราะว่า เป็นสิ่งที่เป็นความจริงถึงที่สุด นะคะ ใครที่มีความสงสัย หรือ มีความไม่รู้เนี่ยค่ะ คำตอบทั้งหมด ก็มาจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้ว ๔๕ พรรษา ทุกเรื่อง เพื่อที่จะให้คนที่เกิดมาแล้ว แล้วก็ไม่เคยรู้ความจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะว่า เกิดแล้วเนี่ย ต้องตายแน่ แต่ก่อนตายเนี่ยค่ะ ทุกวัน มีการเห็น มีการได้ยิน มีการคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มาจากไหน? เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถ้าคนที่ไม่คิดเลย นะคะ ก็ผ่านไป จนกระทั่ง จากโลกนี้ไปแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้ แต่ประสบการณ์ในชีวิตแต่ละครั้ง เช่น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง พวกนี้ค่ะ แล้วก็เกิด ยินดี ยินร้าย ชอบ ไม่ชอบ พวกนี้ ไม่ได้หายไปไหนเลย นะคะ สะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้น จิตในขณะนี้ของแต่ละคนเนี่ย ก็หลากหลายมาก (มีเสียงนกในกรงร้องเสียงดัง) ได้ยินเสียง ใช่ไม๊คะ? แต่ว่าขณะที่ได้ยินแล้วเนี่ย จะรู้ไม๊ว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา แต่ว่า เกิดความยินดี หรือ ไม่ยินดี แม้ในเสียง ที่กำลังปรากฏ อย่างเร็วมากค่ะ แล้วเสียงก็หายไป และ ความยินดี ยินร้าย ก็หายไป เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ก็คือว่า แต่ละหนึ่งขณะ เนี่ยนะคะ เพียงแต่เกิด ปรากฏ สั้นแสนสั้น แล้วก็หายไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ด้วยการทรงบำเพ็ญพระบารมี นะคะ นานมาก พระองค์ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรม อนุเคราะห์คนครั้งอดีต เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี นับประมาณไม่ได้ นะคะ ทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา ทั้งพรหม เพราะว่า แม้ว่าจะเกิดเป็นเทพ เป็นพรหม ก็ไม่ใช่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตาม ที่เห็นคุณค่า ของปัญญา เพราะว่าเกิดมาแล้วไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ กับ การเกิดมาแล้ว ยังมีโอกาสรู้ความจริง ก็เป็นสิ่งซึ่ง จะเห็นได้ค่ะว่า ยังไงๆ ก็ต้องจากไป จะจากไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม หรือว่า ค่อยๆ เข้าใจความจริง ไม่ใช่เพียงแต่เกิดมาเปล่าๆ แล้วก็จากไป นะคะ เปล่าไม๊คะ? จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย มหาศาล จะมีเพื่อนฝูง จะมีมิตรสหาย จะมีความเพลิดเพลิน ก็ไม่เหลือเลยค่ะ เป็นของว่างเปล่า จริงๆ เพียงชั่วคราว แล้วก็หายไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เหมือนจากมาจากไหนคะ? โลกเก่า ใครทราบ? จะต่างกับโลกนี้ หรือ คล้ายโลกนี้ หรือดีกว่าโลกนี้ หรือว่าเลวกว่าโลกนี้มาก ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ นะคะ เพราะสิ่งที่มี ปรากฏแล้ว ก็ไม่กลับมาอีกเลย โลกเก่าหมดไป โลกนี้ก็ใกล้ที่จะหมด แล้วก็จะถึงโลกใหม่อีก ก็ไม่พ้นจากเกิดแล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก สุข ทุกข์ แต่ชีวิตที่ประเสริฐ คือ เกิดแล้วยังรู้ ว่าขณะนี้ เป็นอะไร? ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นอะไร? ก็ดีกว่า ที่จะไม่รู้เลย นะคะ มีใครบ้างไม๊คะ ที่เกิดมาแล้ว ไม่เรียนอะไร เรียนหรือไม่เรียน อยู่ตรงไหน? ที่ไหน? ในโรงเรียน นอกโรงเรียนอย่างไร ก็ต้องเรียนรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่จะรู้แบบไหน? รู้แบบ โง่เขลา เบาปัญญา คือ รู้ด้วยความคิดของตัวเอง แต่ว่า ไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ กับ รู้ด้วยความเห็นถูก ค่อยๆ เข้าใจถูก แม้แต่เพียงว่า เกิดมาแล้ว ต้องตายเนี่ย เป็นความรู้ไม๊คะ? ก็เป็นความรู้ นะคะ เข้าครัวเป็นความรู้ไม๊ เห็นดอกไม้อยู่ในแจกัน ก็ต้องเป็นความรู้ว่า มาจากไหน? ทำอย่างไรถึงได้เห็นดอกไม้อย่างนี้ได้ ใช่ไม๊คะ? ต้องมีการปลูก มีการตัด ตอน มีการปลูกเม็ดก็แล้วแต่ ทั้งหมดเนี่ย ก็เป็นสิ่งที่รู้ แต่ว่า รู้ถูก หรือ รู้ผิด? รู้สิ่งที่เป็นความจริงถึงที่สุด ที่ไม่มีความจริงยิ่งกว่านี้ หรือว่า รู้เหมือนที่เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละ ใช่ไม๊คะ? มีใครบ้าง ที่จะไม่รู้ แต่ว่า รู้อย่างนั้น ไม่ใช่ความเห็นถูก ที่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เนี่ยนะคะ เพื่อให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนั้น แล้วแต่ว่า ขณะนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ไปเรียนวิชานั้น วิชานี้ ดีกว่า บางคนอาจจะคิดอย่างนั้น นะคะ แต่ไม่ว่าวิชาไหน ก็ต้องเพราะมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก วันแล้ว วันเล่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เห็นก็เปลี่ยนไป ได้ยินก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้แต่ความคิดนึกก็เปลี่ยนไป นะคะ ไม่มีอะไรคงที่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐ เป็นพร "วร" ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือ ได้รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงตรัสรู้อะไร แล้วก็เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม อย่างไร มิฉะนั้น เราก็เพียงแต่กราบไหว้ แล้วก็ "ขอ" เสียด้วย ไม่ใช่กราบไหว้เปล่าๆ นะคะ ขอนั่น ขอนี่ แต่ว่า สิ่งที่ขอ เป็นสิ่งที่ประเสริฐหรือเปล่า? หรือ ประเสริฐแม้ไม่ได้ขอ แต่ให้อยู่แล้ว ให้ทุกวัน ตั้งแต่เช้า ถึงค่ำ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรม มากมายกว่าใครอื่นทั้งหมด ทรงตื่นบรรทม ต่ืนมาก็พิจารณาแล้ว ใครเป็นบุคคลที่ควรจะได้ฟังพระธรรม เพราะว่า ไม่ใช่ทุกคน จะสนใจฟัง หรือว่า ฟังแล้วจะเข้าใจ แม้แต่เพียงการเข้าใจเนี่ยค่ะ ต้องมีเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาได้ ต้องมีเหตุปัจจัย ละเอียดยิบ นะคะ โอกาสที่จะได้ฟัง ก็ต้องมีเหตุ แม้ฟังแล้ว การที่ฟังแล้วเข้าใจ ก็ต้องมีเหตุอีก นี่ทรงแสดงความจริง นะคะ ซึ่งทุกคนที่กราบไหว้ นอบน้อม เคารพบูชาพระองค์ เหนือบุคคลใด ก็จะได้ทราบว่า เพราะทรงพระมหากรุณาแสดง สิ่งซึ่งใครก็คิดเองไม่ได้ แต่เป็นความจริง ที่ปรากฏอยู่ทุกขณะ ให้คนที่ได้ฟัง มีโอกาสได้ "รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระปัญญาคุณของพระองค์ ว่า เพราะเหตุนี้ "อิติปิโสภควา" แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น เพียงได้ยินชื่อ แล้วก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะอะไร? ถ้าไม่มีพระปัญญาคุณ ที่ทำให้เป็นผู้ทรงบริสุทธิ์ หมดจด ดับกิเลสหมด นะคะ แล้วก็พระมหากรุณาคุณ คือ ไม่ใช่หมดกิเลสเฉพาะพระองค์เอง คนอื่น ก็ยังมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ จนกระทั่งเห็นอกุศล เป็นอกุศลที่มีโทษ ตามความเป็นจริง แล้วก็อบรมเจริญธรรมะฝ่ายกุศล ซึ่งธรรมะฝ่ายกุศลเนี่ยค่ะ ไม่เคยนำทุกข์มาให้ใครเลย ทั้งสิ้น แต่ธรรมะฝ่ายตรงกันข้าม นะคะ เราคุ้นเคย เราชิน เราอาจจะชอบ นั่นแหละค่ะ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กุศล ก็นำแต่ทุกข์มาให้ โดยไม่รู้เลย มีประโยชน์ไม๊คะ? การฟัง ได้เข้าใจ สิ่งซึ่ง ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็เข้าใจขึ้น และ สิ่งนั้น ก็ไม่ได้อยู่ไกลเลย เดี๋ยวนี้ ค่ะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่ เดี๋ยวนี้ แล้วไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ แล้วก็เข้าใจขึ้น อย่างคำว่า จิต เนี่ย ก็พูดมาตั้งนานนะคะ เกิดมาก็ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็พูดกันไปเรื่อย แต่ก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอฟังแล้วเนี่ย พอเริ่มจะเข้าใจบ้างไหม? ว่า จิตเนี่ย มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี อะไรๆ ทั้งหมดที่ว่ามีจริง ต้องเดี๋ยวนี้ ใช่ไม๊คะ? เพราะฉะนั้น จิตเดี๋ยวนี้ มีหรือเปล่า? เนี่ยค่ะ ก็ต้องคิด เพื่อที่จะเข้าใจจิตขึ้นอีก ไม่ใช่เท่านั้นพอแล้ว ใช่ไม๊คะ