เบญจเพส...อายุ 25 ปี
เรื่องเกี่ยวกับเบญจเพส ที่ว่ามนุษย์เราบางคนอาจมีเคราะห์ (บางคนดี บางคนร้าย) แต่ความจริงแล้วมีความเป็นมาอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริง ชีวิตของคนเรา มีอยู่ ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นการได้รับผลของกรรม เช่น ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย รวมไปถึง ขณะที่หลับสนิทด้วย ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัย วิบากจิต ซึ่งเป็นการได้รับผลของกรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้ และ อีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนของการสะสมเหตุ คือ เป็นกุศล กับเป็นอกุศล นี้ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคล
ซึ่งสำหรับคำว่า มีเคราะห์ ตามที่ชาวโลก เข้าใจ ก็คือ ผลของกรรม ที่เป็นไปในการได้รับผลของกรรม หากมีเคราะห์ ในทางที่ไม่ดี ในสัจจะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คือการได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี อันเกิดจากการกระทำกุศลกรรมในอดีต ซึ่งผลของกรรมที่ไม่ดี คือ เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี ได้กลิ่นที่ไม่ดีๆ ได้ลิ้มรสไม่ดี รู้กระทบสัมผัสไม่ดี นั่นคือ ผลของกรรมที่ไม่ดี ให้ผล ซึ่งก็ไม่พ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกายที่เกิดในชีวิตประจำวันในขณะนี้ อันชาวโลก สมมติกันว่า มีเคราะห์ไม่ดี
เคราะห์ดี ก็คือ ผลของกรรมที่ดีให้ผล อันเกิดจากกรรมดีที่เคยทำไว้ในอดีตให้ผลซึ่งผลของกรรมดี ก็ไม่พ้นจากทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ในชีวิตประจำวัน คือ เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี กระทบสัมผัสไม่ดี อันชาวโลกสมมติกันว่า เคราะห์ไม่ดี เพราะฉะนั้น ชาวโลกไม่เข้าใจว่า เคราะห์ดี หรือ ไม่ดี คืออะไร และเกิดจากเหตุอะไร เพราะเคราะห์ดี หรือ ไม่ดี ก็คือ การได้รับผลของกรรมที่ดี หรือ ไม่ดี ทาง ตา หู จมูก ลิ้นและกาย อันมีเหตุมาจากการกระทำกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ครับ
ส่วนความทุกข์ใจ เป็นส่วนของการสะสม ที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้น ที่เป็นโทสะ ไม่ใช่ ส่วนของผลของกรรม ดังนั้น เมื่อทุกข์ใจมากๆ จะกล่าวว่า ดวงไม่ดี เคราะห์ไม่ดี ไม่ได้ เพราะเป็นส่วนของกิเลสที่สะสมมา ไม่ใช่ ส่วนที่เป็นผลของกรรมครับ
เมื่อทราบตามความเป็นจริงแล้วว่า เคราะห์ดี หรือ ไม่ดี ก็คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มี เห็น ได้ยิน เป็นต้น จึงไม่จำเป็นเลยว่า เคราะห์จะไม่ดี เมื่อ อายุ ๒๕ ปี เบญจเพส เพราะในความเป็นจริง เคราะห์ไม่ดี หรือ การได้รับผลของกรรม ที่ไม่ดี มีการเห็นไม่ดี ในขณะนี้ ก็มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น เห็นสิ่งที่ไม่สวยงาม จะกล่าวได้ว่า เคราะห์ไม่ดีแล้ว เพราะ ได้รับผลของกรรมไม่ดี การได้รับผลของกรรม จึง ไม่ได้จำกัดอายุเลย ว่าจะได้รับผลของกรรมไม่ดี ตอนอายุเท่านี้ กรรมไม่ดี พร้อมเมื่อไหร่ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น ในอายุเท่าไหร่ก็ได้ ครับ เช่น เดียวกับ การได้รับสิ่งที่ดี ที่ เรียกว่า เคราะห์ดีก็ได้ ก็ไม่ได้จำกัด อายุ ขณะนี้ กำลังเห็นสิ่งที่ดี กำลังได้ยินเสียงที่ไพเราะ ก็เป็นผลของกรรมที่ดี เคราะห์ดีแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้อายุ ๒๕ ผลของกรรมก็ให้ผล เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ที่เป็นผลของกรรมที่ดีได้ครับ
สรุปได้ว่า เคราะห์ดี ไม่ดี ที่เป็นการได้รับผลของกรรมที่ดีไม่ดี กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ไม่ได้ต้องรออายุเท่าไหร่เลย กำลังให้ผลอยู่ในชีวิตประจำวัน คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส แม้จะรู้ หรือ ไม่รู้ก็ตาม ครับ ที่สำคัญ อายุ ก็เป็นเพียงการสมมติขึ้นว่าอายุ ๒๕ ปี แต่ในความเป็นจริง ก็เป็นเพียง จิต ที่เกิดดับสืบต่อกันไป มีอายุชั่วขณะจิตเท่านั้น ที่เป็นวิบากจิตที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้นบ้าง จิตที่เป็นกุศล อกุศลเกิดขึ้นบ้างเกิดดับสลับกันไป และฤกษ์เวลาที่ดี คือ การทำกุศลกรรม ประการต่างๆ ชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี เวลาดีอันจะนำไปสู่การได้รับสิ่งที่ดี ครับ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม จึงเกื้อกูลต่อความเข้าใจถูก ในทุกๆ เรื่อง ครับ
ขออนุโมทนา
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานนับไม่ได้ เราก็เคยทำทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ก็แล้วแต่กรรมไหนจะให้ผลก่อน แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลสแล้ว ก็ยังต้องรับผลของกรรมในอดีต เช่น ปวดศีรษะ เพราะในอดีต ยินดีกับการจับปลาได้ของชาวประมง ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เบญจเพส แปลว่า ๒๕ มาจากภาษาบาลี ว่า ปญฺจวีส คนที่มีอายุ ๒๕ ปี ก็เรียกว่า เข้าสู่วัยเบญจเพส]
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม ต้องเป็นผลของกรรมดีอย่างแน่นอน จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ ก็มีความหลากหลาย แตกต่างกันไป แตกต่างกันทั้งการได้รับผลของกรรม และ แตกต่างกันที่การสะสม การจะได้รับสิ่งที่ดีที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม เป็นเพราะได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว ผลที่ดีจึงเกิดขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การได้รับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่มีใครทำให้เลย ไม่ว่าจะเกิดมาแล้วมีอายุเท่าใด ยังไม่ถึงอายุ ๒๕ ถึงอายุ ๒๕ ปี หรือเลยอายุ ๒๕ ปีมาแล้ว ก็ยากที่จะพ้นไปจากการได้รับผลของกรรม คือ ได้รับสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เพราะ วิบากซึ่งเป็นผลของกรรม ในชีวิตประจำวัน ก็คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง ซึ่งไม่เกี่ยวกับอายุเลย และไม่ว่าจะเป็นวัยใด อายุเท่าใดก็สามารถที่จะเป็นคนดี หรือ ไม่ดี ได้ทั้งนั้น ตามการสะสมของแต่ละบุคคล เพราะการที่จะเป็นคนดีหรือไม่ดี อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่สภาพจิต เป็นสำคัญ ว่าสะสมอะไรมาบ้าง ถ้ากระทำในสิ่งที่ไม่ดี ประพฤติทุจริตประการต่างๆ ก็เป็นคนไม่ดีด้วยอกุศลธรรม เป็นเรื่องของการสะสมของผู้นั้น ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีอายุเท่าใด
ถ้าน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม คิดดี พูดดี และกระทำสิ่งที่ดีๆ ก็เป็นคนดีด้วยกุศลธรรมโดยที่ไม่เกี่ยวกับอายุอีกเหมือนกัน เกิดมาแล้ว ทุกคนล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้ ความตายไม่ละเว้นใครเลยทั้งสิ้นอ ความตายจะมาถึงเมื่อใด ไม่มีใครทราบได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ เด็กจะตายก่อนผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่จะตายก่อนเด็ก ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เราผ่านอายุ ๒๕ มาไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย
อกุศลวิบากส่งผลเมื่อไหร่เป็นอจินไตย ไม่ใช่ส่งผลแค่อายุ ๒๕ เท่านั้น บางคนประสบอุบัติเหตุหรือตายตั้งแต่เด็ก บางคนตายตอนวัยกลางคน บางคนแก่ตาย
สรุปว่าในชีวิตประจำวันทุกคนได้รับกุศลวิบากและอกุศลวิบากตลอด ไม่จำกัดว่าต้องได้รับหนักๆ ตอนอายุ ๒๕ เท่านั้น