สิ่งที่มีอยู่จริงทางตา เกิด-ดับ อย่างไร
"ธรรมะ คือ สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นแต่พียงสภาพธรรม ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ตามเหตุ ปัจจัย ไม่ใช่ สัตว์ ตัวตน บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ให้เกิด ให้มีได้."
ยังมีข้อสงสัยในเรื่องการเห็นค่ะว่า สิ่งที่เราเห็น หากเราเป็นคนปกติที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นปกติได้ ในขณะที่สายตายังจดจ้องสิ่งที่เห็นอยู่ก็แสดงว่าการเห็นยังไม่ดับ ตรงนี้ยังไม่เข้าใจค่ะ อยากขอความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นจากการเห็น จะดับไปอย่างรวดเร็วอย่างไรคะ
ขออนุโมทนาในกุศลที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริง มีแต่สภาพธรรม ที่เป็นจิต เจตสิกและรูปที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ซึ่งสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิและรูป นั้น เป็นสังขารธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ย่อมมีการเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว แต่การเกิดขึ้นและดับ ของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกที่มีในชีวิตประจำวันนั้น รวดเร็วสุดประมาณ เพียงเวลาลัดนิ้วมือเดียว หรือ เพียง หนึ่งวินาที จิตเกิดดับ นับไม่ถ้วน เป็นแสนล้านขณะแล้ว นี่ คือ ความรวดเร็วของการเกิดดับของจิตและเจตสิก
ซึ่งผู้ถามได้ยกตัวอย่าง การเห็น เห็นเป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต ไม่ใช่เราเห็น แต่เป็น จิตที่เห็น เมื่อมีการเห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ถูกเห็นก็คือ สี แต่เมื่อเห็นแล้ว ก็มีการ คิดนึกถึงรูปร่างของสีนั้น ทำให้เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน และเมื่อเห็นก็มีจิตอื่นๆ เกิดต่อ วาระจิตอื่นๆ เกิดต่อ เช่นได้ยิน คิด นึก เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ที่ได้ยิน จิตได้ยินเกิดขึ้น ก็ต้องไม่เห็นใช่ไหมครับ แต่ดูเหมือนว่า ทั้งๆ ที่ได้ยิน การเห็นก็ไม่ได้ดับเลย ทั้งๆ ที่ความจริงจะต้องดับไปก่อน การได้ยินถึงจะเกิดขึ้นได้ แต่เพราะอะไรครับที่เห็นอยู่ขณะนี้ เหมือนไม่ดับไปเลย ยังเห็นอยู่ตลอด เพราะการเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วของจิตนั่นเองครับ
ซึ่งขณะที่ตา จดจ้อง หรือ กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ เห็นดับไปแล้ว จิตอื่นเกิดต่อ แล้ว จิตเห็นก็เกิดต่อ จิตอื่นๆ เกิดต่อ แล้วจิตเห็นก็เกิดต่อ สืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ เห็นว่า ยังมีการเห็น ไม่ได้ดับไปเลยครับ ผมจะขอยกตัวอย่างประกอบความเข้าใจ ในเรื่องการเกิดดับอย่างรวดร็ว ทำให้เห็นว่ายังเที่ยง ยังนิ่ง ไม่เกิดดับครับ
ตัวอย่างของใบพัดลม ๓ ใบ ที่ยังไม่ได้เปิด ก็เห็นว่า มี ใบ อยู่ ๓ ใบ แต่เมื่อมีการเปิดพัดลม เพราะการหมุนอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เห็นว่า ใบพัดมีใบเดียว นิ่ง เป็นวงกลม ไม่ได้เห็นเป็น ๓ ใบแล้ว แต่ค่อยๆ หมุน ช้าๆ ก็ยังเห็นว่ามี ๓ ใบ ใช่ไหมครับ แต่หมุนเร็ว มากเท่าไหร่ก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงแล้วว่ามี ๓ ใบ การเกิดดับของจิต มีจิตเห็น เป็นต้นก็เช่นกัน ทั้งๆ ที่มีการเกิดดับ แต่จิตไม่ได้เกิดดับช้าๆ แต่เกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงว่าเกิดดับ แต่ยังเห็นว่า ยังเห็นอยู่นั่นเองครับ เพราะการ เกิดดับของจิตอย่างรวดเร็วสุดประมาณ
การแกว่งก้านธูป
เมื่อจุดธูป เห็นไฟจุดเดียวใช่ไหม ลองแกว่งธูป เป็นไงครับ เห็นเป็นวงกลมขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่ จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงไฟจุดเดียวเท่านั้น แต่เพราะการสืบต่อ ของการหมุนก้านธูป จึงทำให้หลงเข้าใจผิดว่ามี วงกลม ฉันใด แม้สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ เช่น ขณะที่เห็น ก็เกิดขึ้นและดับไป แต่เพราะความเกิดดับของสภาพธรรมคือ เห็น เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เห็นว่า เห็นขณะนี้ ไม่ดับไปเลย ยังเห็นว่าเที่ยงอยู่เสมอ เพราะความเกิดขึ้นและดับไปของธรรมอย่างรวดเร็ว สืบต่อกัน ดังเช่น การแกว่งธูปนั่นเอง
หลอดไฟ
ขณะที่ดูหลอดไฟ เมื่อเปิดไฟ เราก็เห็นว่าหลอดไฟนั้นสว่างตลอด คงที่ไม่กระพริบ แต่ความเป็นจริงแล้ว หลอดไฟก็มีการเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา (ตามความเร็วรอบ) แต่เราไม่เห็นเลยว่า หลอดไฟนั้นกระพริบเกิดดับเลย เพราะเหตุใด เพราะมีการกระพริบเกิดดับเร็วมาก จนเห็นว่าเที่ยงนั่นเอง
ฉันใด แม้สภาพธรรม ที่มีในขณะนี้ ก็เกิดดับเร็วมาก แต่ก็ไม่เห็นว่าเกิดดับเลย เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก สืบต่อจนเห็นว่าเที่ยง และก็ไม่มีปัญญาเห็นความเกิดขึ้น และดับของสภาพธรรมด้วย จึงเห็นว่าเที่ยง และยึดด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง ขณะนี้เห็น ตามความเป็นจริง เห็น (จักขุวิญาณ) เกิดขึ้น และดับไป และก็ได้ยินบ้าง แต่ก็ยังเห็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ขณะที่ได้ยิน ขณะนั้นจะต้องไม่เห็น เพราะสภาพธรรมเกิดดับ สืบต่อเร็วมาก และไม่มีปัญญาที่จะไปรู้นั่นเอง เราจึงยึดถือสิ่งต่างๆ ว่าเที่ยง ยั่งยืน มีคน มีสัตว์
ดังนั้น การเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม รู้ว่า เห็นนั้นเกิดขึ้นและดับไปจริงๆ จะต้องเป็นปัญญาระดับที่สูงมาก ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ขั้นที่ ๓ และ ๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและ กล สำคัญคือ จะต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และเข้าใจความจริง เบื้องต้นว่า ขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา หากยังไม่รู้ตัวธรรมก่อน ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลยว่า สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เพราะยังไม่รู้จักตัวธรรมที่เกิดดับอยู่นั่นเองครับ
อาศัยการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ครับ ในเรื่องสภาพธรรม ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ในขั้นการฟัง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตามกำลังของปัญญา หากเริ่มที่เหตุที่ถูก ย่อมถึงปัญญาระดับสูงได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และมีผู้ที่ถึงปัญญาระดับนั้นและดับกิเลสมาแล้วมากมาย เพราะอาศัยพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ท่านเหล่านั้นอาศัย ระยะเวลายาวนาน นับชาติไม่ถ้วน เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่เจริญยาก และสะสมความไม่รู้มามากนั่นเองครับ
อดทนที่จะฟังพระธรรมต่อไปครับ ซึ่งขณะนี้ก็มีการสนทนา สอบถาม เมื่ออ่านเข้าใจก็กำลังอบรมปัญญาเพื่อถึงปัญญาระดับสูงในอนาคตแล้วนั่นเองครับ แม้จะยังไม่เห็นการเกิดดับ แต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงขั้นการฟัง ในเรื่องการเกิดดับได้ในขั้นการฟังครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขออนุโมทนาในกุศลที่ทำให้เจริญปัญญามากขึ้น จะตั้งใจศึกษาฟังพระธรรมต่อไปเพื่อละความเห็นผิดค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัุมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน
สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง คือ สี ไม่รู้อารมณ์เหมือนอย่างนามธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุที่สั้นแสนสั้นเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เท่านั้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ธรรมก็เป็นจริงอย่างนี้ และประการที่สำคัญ เมื่อจิตเกิดขึ้นโดยอาศัยทางตา คือ จักขุทวาร จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องรู้สี ที่กำลังมีในขณะนั้น ซึ่งยังไม่ดับทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะจักขุวิญญาณเท่านั้น ที่รู้สีก่อนจิตเห็นเกิดขึ้น คือ จักขุทวาราวัชชนจิต และ หลังจากจิตเห็นเกิดขึ้น คือ สัมปฏิจฉันนจิต เป็นต้นไป ก็รู้สี เช่นเดียวกัน แต่รู้โดยกิจที่แตกต่างกัน ตามประเภทของจิตนั้นๆ
ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน นี้คือ ความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...