ว่าด้วยเรื่อง ธาตุน้ำ
สวัสดีครับ
ผมฟังบรรยาย ในเว็บ อ.สุจินต์ จะพูด ถึง แต่ ธาตุ ไฟ เย็น ร้อน ดิน อ่อน แข็ง ลม ตึง ไหว แต่ไม่ค่อย พูดธาตุน้ำ เมื่อทำการ หาข้อมูล จึงได้รู้ว่า ธาตุน้ำ คือเกาะกุม และ ไหล แต่ ... รู้ได้ทางใจ ตรงนี้ อยากจะทำความเข้าใจให้มากขึ้น ว่ารู้ได้ทางใจนั้น เป็นยังไง อยากจะให้ช่วย ขยายความ ธาตุน้ำ ครับ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธาตุน้ำ คือ อาโปธาตุ (สภาพธรรมใด ย่อมเอิบอาบ คือ แผ่ไปสู่รูปที่เกิดร่วมกัน หรือสภาพธรรมใด ยังรูปที่เกิดร่วมกันให้แนบแน่น ให้พอกพูน คือ ให้เจริญ สภาพธรรมนั้นชื่อว่า อาโปธาตุ) เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรม ซึ่ง ธาตุน้ำ ไม่สามารถรู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ธาตุน้ำ จึงไม่ใช่ น้ำที่เห็น ทางตา เพราะนั่นเป็น สมมติอาโป เพราะ ตาเห็น สีเท่านั้น ไม่ได้เห็น ลักษณะเกาะกุม เอิบอาบ และที่เราสัมผัสทางกาย จับน้ำ ก็ไม่ใช่ธาตุน้ำ แต่เป็น เย็น ร้อน (ธาตุไฟ) - อ่อน แข็ง (ธาตุดิน) - ตึงไหว (ธาตุลม)
ซึ่งจะรู้ลักษณะของธาตุน้ำที่รู้ทางใจ ก็ต้องเป็นใจที่มีปัญญาครับ ถ้าไม่มีปัญญา ที่เป็นสติปัฏฐาน ก็ไม่สามารถระลึกรู้ลักษณะของธาตุน้ำได้ตามความเป็นจริง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้ แม้แต่ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ก็เช่นเดียวกัน เป็นธาตุอย่างหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไหลเอิบอาบ เกาะกุม เป็นรูปละเอียด (สุขุมรูป) ที่รู้ได้ทางใจเท่านั้น ไม่สามารถรู้ธาตุน้ำได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย เลย สิ่งสำคัญ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก อันเริ่มที่การฟัง การศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะ การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น จะขาดการฟัง การศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย ประโยชน์จริงๆ คือ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ จนกว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นการยาก ที่จะเข้าใจ จะ ฟังและ อบรมต่อไปครับ
ขอบคุณ และ ขออนุโมทนาครับ
ธาตุน้ำ จึงไม่ใช่ น้ำที่เห็น ทางตา เพราะนั่นเป็น สมมติอาโป เพราะ ตาเห็น สีเท่านั้น ไม่ได้เห็น ลักษณะเกาะกุม เอิบอาบ และที่เราสัมผัสทางกาย จับน้ำ ก็ไม่ใช่ธาตุน้ำ แต่เป็น เย็น ร้อน (ธาตุไฟ) - อ่อน แข็ง (ธาตุดิน) - ตึงไหว (ธาตุลม)
ซึ่งจะรู้ลักษณะของธาตุน้ำที่รู้ทางใจ ก็ต้องเป็นใจที่มีปัญญาครับ ถ้าไม่มีปัญญา ที่เป็นสติปัฏฐาน ก็ไม่สามารถระลึกรู้ลักษณะของธาตุน้ำได้ตามความเป็นจริง ครับ
ขอเรียนถามค่ะ อยากทราบว่า ต้องเป็นผู้มีปัญญาระดับใด จึงจะระลึกรู้ลักษณะของธาตุน้ำได้ตามความเป็นจริง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
ต้องมีปัญญาที่เป็นปัญญาระดับสติปัฏฐาน แคล่วคล่อง ชำนาญอย่างมากแล้วและมีปัญญาระดับสูง เพราะ อาโปธาตุ เป็นสภาพธรรมที่ละเอียด เป็นสุขุมรูป รู้ได้ทางใจเท่านั้น เมื่อไม่ใช่รูปหยาบ ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน มี แข็ง อ่อน เย็น ร้อน ก็ต้องเป็นปัญญาระดับสูงมาก ที่สะสมปัญญามามาก จึงจะรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นรูปละเอียดที่เป็นธาตุน้ำ ที่เป็นอาโปธาตุได้ครับ
ขออนุโมทนา
ธาตุน้ำ เป็นสุขุมรูป เป็นรูปที่ละเอียด ไม่สามารถรู้ได้ทางกาย รู้ได้เฉพาะทางใจและเป็นรูปที่ไกลตัว รู้ได้ยาก ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
รูปละเอียดทั้งหลาย เป็นรูปที่ระลึกรู้ได้ยากสำหรับปุถุชนยุคนี้ครับ
จึงควรใส่ใจพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ที่รูปหยาบไปก่อน
คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว
ธรรมที่ละเอียดควรศึกษา แต่มิใช่ศึกษาเพื่อเจาะจงที่จะระลึกรู้ธรรมที่ละเอียดเหล่านั้น
ขออนุโมทนาครับ
ผมขอความกรุณาอาจารย์ตอบคำถามนี้หน่อยครับ
คือถ้า คนที่รู้ธรรม ผมไม่ทราบว่า จะจำมาหรือ เข้าใจจริง คนคนนี้เป็นชายแต่รักความเป็นหญิง เขาสามารถ บรรลุธรรมได้ขั้นไหนครับ
เรียนความห็นที่ 11 ครับ
ถ้าปฏิสนธิด้วย เหตุ ๓ คือ ประกอบด้วยปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมและสะสมปัญญามา ก็สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้นครับ แต่หากเกิดมาไม่มีเหตุ คือ พิการตั้งแต่กำเนิด เช่น ไม่มีภาวะรูป คือ ไม่มีเพศชาย หรือ หญิง เป็นต้น อันนี้ ไม่มีทางบรรลุธรรม แต่ถ้า เป็นชาย แต่ใจรักความเป็นหญิง อาจเป็นเพราะเคยเกิดเป็นหญิงในอดีตชาติ หลายร้อยชาติติดต่อกัน ทำให้สะสมอุปนิสัยความเป็นหญิงอยู่ เมื่อเกิดเป็นผู้ชาย แต่ ไม่ได้ พิการตั้งแต่กำเนิด คือ มีภาวรูปอยู่ และหากได้สะสมปัญญามา เกิดด้วยเหตุ ๓ คือ ประกอบด้วยปัญญา หากเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ครับ