จิตหลุดออกจากปัจจุบันหรือไม่

 
khundong
วันที่  16 ก.พ. 2555
หมายเลข  20560
อ่าน  2,204

มีข้อสงสัยครับ

จากที่ได้ฟังๆ อ่านๆ บ่อยๆ บางช่วงก็ไม่ได้ฟังและอ่านเลยเป็นปี สลับไปมา เริ่มมา ๑๐ กว่าปีแล้วครับ ก็เหมือนเริ่มเข้าใจบ้าง เมื่อขณะเวลาคิดเรื่องต่างๆ ในอดีต และอนาคตเพื่อแก้ปัญหาชีวิต หรือปัญหาการงานต่างๆ บางเวลาเกิดความรู้สึกอารมณ์ ซึ่งเราไม่สามารถไปบังคับให้หยุดคิด ไม่สามารถหยุดความรู้สึกและอารมณ์ได้

ถามว่า เราจะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างไร ถ้าอยู่แต่กับ ปัจจุบันขณะตลอดเวลา เราจะแก้ปัญหาการงาน และปัญหาชีวิตอย่างไร โดยไม่คิด ถึงเรื่องอดีตและอนาคต แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า ปัจจุบันขณะไม่ให้ทุกข์ ให้มีความกล้าหาญ ร่าเริง อย่าประมาท อยากทราบว่าอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาอย่างนั้น มันเป็นไปได้หรือต้องทำอย่างไรครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก็ต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนครับว่า จิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่เป็นปัจจุบัน ก็คือขณะนี้ที่สภาพธรรมกำลังเกิดขึ้น เช่น ขณะที่เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสและคิดนึก

ซึ่งการคิดนึกถึงปัญหา ต่างๆ คิดถึงเรื่องอดีต หรือ เรื่องอนาคต ขณะที่คิดถึงเรื่องอดีต ขณะนั้นเป็นปัจจุบันแล้ว คือ ขณะที่จิตดคิดนั่นเองที่เป็นปัจจุบัน ส่วนเรื่องราวที่คิดที่เป็นเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เป็นเรื่องราวสมมติ จึงไม่ใช้ในการตัดสินว่าถ้าคิดเรื่องราวในอดีต ขณะนั้นเป็นอดีตครับ เพราะอดีต ปัจจุบันและอนาคต คือ เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและดับ จิตที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ มีจิตคิดนึกในเรื่องอดีต เป็นปัจจุบันขณะ เพราะเป็นขณะที่จิตกำลังเกิด เมื่อจิตนั้นดับไป เป็นอดีตไปแล้วครับ คือ จิตที่ดับไปเป็นอดีต แต่ไม่ใช่เรื่องราวเป็นอดีต ไม่ใช่เรื่องราวว่า ถ้าขณะที่คิดนึกถึงเมื่อ ๕ วันที่แล้ว ขณะนั้นเป็นอดีตนะครับ กำลังเป็นปัจจุบันอยู่ เพราะกำลังคิด ครับ

ส่วนอาคต คือ จิตที่ยังไม่เกิดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นแม้ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวในการงานที่ยังมาไม่ถึง เช่น คิดว่า พรุ่งนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะที่คิดนั้น เป็นปัจจุบันขณะแล้ว คือ เป็นจิตที่คิดนึกที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่อนาคต เพราะกำลังเกิด อนาคตจึงไม่ใช่ตัดสินที่เรื่องราว ที่เป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้นครับ

ดังนั้น การอบรมปัญญา ก็คือ อยู่กับปัจจุบันขณะ คือ ขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่อยู่กับเรื่องราวที่เป็นเรื่องราวที่คิดว่าเป็นอดีต หรือ อนาคต ครับ การอบรมปัญญาเจริญสติปัฏฐาน จึงเป็นการเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือ รู้ขณะที่กำลังเกิด แม้ขณะที่กำลังคิดเรื่องการงานที่จะทำพรุ่งนี้ ขณะนั้นก็เป็นปัจจุบันแล้ว คือ กำลังคิดนึก สิ่งที่มีจริงในขณะปัจจุบันนั้น ไม่ใช่เรื่องราวการงานที่กำลังคิด แต่เป็นจิตที่คิดนึกนั่นเองที่มีจริง ปัญญาก็คือรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา คือ เป็นเพียงจิตเท่านั้น ไม่ใช่เราที่คิด ครับ

ดังนั้น ไม่มีใครหยุด ความคิด หรือ อะไรได้ ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยเหมือนกับ โลภะก็เกิดแทรกคั่นขณะนี้ ที่เป็นปัจจุบันได้ใช่ไหมครับ เห็นแล้วก็ชอบ อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจุบันขณะ แต่เมื่ออบรมปัญญาแล้ว แทนที่จะเห็นเป็นโลภะหรือไม่ได้รู้ความจริง สติและปัญญาก็เกิดแทนโลภะ คือ เมื่อเห็นแล้ว ก้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา หรือ เมื่อคิดนึกเรื่องใด ไม่ว่าจะเรื่องการงาน เรื่องราวในอดีต แต่ก็มีสติและปัญญาเกิดต่อ ในขณะปัจจุบันขณะนั่นเองครับว่าเป็นเพียงจิตที่คิด ไม่ใช่เราที่คิดครับ

ดังนั้น จึงไม่ได้ห้ามไม่ให้คิด ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อคิดแล้ว ขณะที่คิดเป็นปัจจุบันขณะ สติและปัญญาก็เกิดต่อรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราในขณะนั้นครับ ซึ่งกว่าจะถึงการรู้อย่างนั้นได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาก เพราะเป็นเรื่องยาก แต่ค่อยๆ สะสมไปได้ จนที่สุด ก็ถึงการรู้ความจริงเช่นนั้นได้ครับ

การเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องการรู้ความจริงที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน อยู่กับปัจจุบันได้ แต่ต้องแล้วแต่ว่าสติและปัญญาจะเกิดหรือไม่ด้วยครับ เพราะถ้าปัญญายังน้อย สติไม่เกิด แม้จะมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้น หากมีปัญญาที่อบรมมามากแล้ว ก็สามารถอยู่กับปัจจุบันขณะ คือ สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ เกิดเพียงขณะเดียว อย่างรวดเร็วและก็คิดเรื่องราวอื่นๆ ต่ออีกครับ ไม่ใช่ว่า เมื่อสติและปัญญาเกิดในปัจจุบันแล้วจะค้างอยู่อย่างนั้นครับ ก็มีเหตุปัจจัยให้จิตคิดเรื่องอื่นต่อไปเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แล้วถ้ามีเหตุให้สติและปัญญาเกิด ก็เกิดแทรกอีกได้ในขณะะต่อไปได้ครับ การเจริญสติจึงสามารถเกิดได้ในขณะปัจจุบันครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 16 ก.พ. 2555

ถ้าศึกษาธรรมะแล้วเข้าใจ ปัญญาเท่านั้น ที่จะแก้ปัญหาขีวิตได้ทุกอย่าง ที่ว่าอยู่กับปัจจุบัน ในที่นี้ ท่านหมายถึง ขณะที่ปัญญาเกิด รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาไม่ทำให้ใครทุกข์ มีแต่นำความสุขมาให้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 16 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกขณะของชีวิต ไม่พ้นไปจากจิตเลย มีจิตเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา

จิต ขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เป็นไปอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ในขณะนี้เอง ก็มีจิตเกิดขึ้นเป็นไป แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้แต่ในขณะที่คิด บังคับไม่ให้คิดก็ไม่ได้ เพราะคิดก็เกิดแล้ว เป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ห้ามไม่ให้คิด แต่ไม่ว่าสภาพธรรมจะเกิดขึ้นปรากฏ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะกว่าที่จะอยู่กับปัจจุบัน คือ ในขณะที่สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริงซึ่งเป็นช่วงที่ขณะสั้นๆ ได้นั้น ต้องอาศัยเหตุ คือ การฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย ครับ


...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 16 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การอบรมปัญญา ก็คือ อยู่กับปัจจุบันขณะ คือ ขณที่สภาพธรรมกำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่อยู่กับเรื่องราวที่เป็นเรื่องราวที่คิดว่าเป็นอดีต หรือ อนาคต ครับ

"ปัญญาเท่านั้น ที่จะแก้ปัญหาขีวิตได้ทุกอย่าง"

อยู่กับปัจจุบันได้โดยการศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับเพราะกว่าที่จะอยู่กับปัจจุบัน คือ ในขณะที่สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริงซึ่งเป็นช่วงที่ขณะสั้นๆ ได้นั้น ต้องอาศัยเหตุ คือ การฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย ครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาอ.ผเดิม, อ.คำปั่น พี่วรรณีและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khundong
วันที่ 16 ก.พ. 2555

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความกระจ่าง มันทำให้เข้าใจไปอีกระดับจริงๆ อ่านข้อความแล้วสนุกมาก อ่าน ๓ รอบ ได้ความรู้ไม่เหมือนกัน รอบแรกเข้าใจดี รอบสอง งงๆ ไม่เข้าใจ รอบสามเข้าใจนิดหน่อย

ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ หลายอย่างอาจเข้าใจผิด

ถ้าผมเป็นโค้ชฟุตบอล ผมวางแผนการเล่นว่าผู้เล่นแต่ละตำแหน่งในการแข่งขันในอนาคต จะต้องเป็นไปตามแผนผมทั้งหมด เป็นขั้นเป็นตอน เราก็จะมีชัยชนะในการแข่งขัน ขณะที่วางแผนการ นั้น จิตใจผมมีความสุข (มีตัวเราม้ากมาก) มีความเบิกบานใจมาก ทำให้วันนั้นผมนอนหลับสบายมีความสุขมาก แต่ความจริงก็คือ จิตในขณะวางแผนเป็นจิตที่อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ดับหายไป ส่วนเรื่องราวต่างๆ นั้นก็มาจากความจำ (สัญญา) ที่ได้สะสมมา คือ มีประสบการณ์เรียนรู้มา มาปะติดปะต่อกัน ไม่ใช่ปัจจุบัน จิตในขณะนั้นก็ส่งต่อกันอีก เกิดดับด้วยความรวดเร็ว (น่าจะสโลโมชั่นหน่อยจะได้เห็นชัดๆ ) ในขณะวางแผน มีสาวสวยแต่งตัว เซ็กซี่ เดินผ่าน จิตก็เกิดอีก แล้วก็ดับ มาคิดเรื่องวางแผนต่อ จิตก็เกิดกับการวางแผนอีก จิตต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้เกิด สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ ตามเรื่องราวที่คิด ถูกหรือเปล่าครับ เคยฟังท่านอ.สุจินต์ ว่า "ไม่คิดก็ไม่มี" ในวันหนึ่งๆ มีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน

วงจรของจิตตามที่เข้าใจ อายตนะ (สิ่งที่ปรากฏทางทวารทั้งหมด) ถ้าเราโฟกัสไปที่ทวารใด (จิต+เจตสิก) เกิดต่อจากทวารนั้นทันที เกิดความรู้สึกอารมณ์ร่างกายเปลี่ยนแปลง เลือด ลม สีหน้า ท่าทาง หัวใจเต้นแรง ตื่นเต้น แต่ถ้าเราเปลี่ยนโฟกัสไปที่ทวารใหม่ จิตจากทวารเดิมก็ดับไปแล้ว และไปเกิดที่ทวารใหม่ทันที อีกร่างกายก็เปลี่ยนตามอีก และทำหน้าที่เกิดดับสลับกันต่อไปอีก ตั้งแต่กำเนิด จน ตาย เป็นวัฏจักร จิตไม่มีวันหยุดเลย ผ่านมาและผ่านไปตลอด และจิตไม่สามารถเกิดหลายทวารพร้อมกัน และจะมีระยะห่างจากทวารหนึ่งไปอีกทวารหนึ่งถึง ๑๗ ขณะจิตเกิดดับ

การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราเป็นอย่างไร รูป คือทุกสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่ไม่รู้อารมณ์ นาม คือสิ่งที่รู้อารมณ์ นามจะอยู่กับสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น เป็นธาตุที่ต้องมีรูปคู่กันไปเพราะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกัน ส่วนต้นไม้ มีธาตุรู้หรือไม่ครับ (นาม) รูปทุกรูปดับไปทุกๆ เสี้ยววินาที (นาโนทีเดียว) ส่วนนามก็เช่นกัน

ผมก็ยังสงสัยต่อไปว่ารูปบางรูปดับไปช้าครับ (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์) อย่างเช่น เพชร ไม่รู้จะสลายไปกี่ร้อยกี่พันปี (อาจจะค่อยๆ สลายตัวไปช้าๆ ) ส่วนนามที่ไม่ดับมีไหมครับ คือนามต้องอาศัยรูปเป็นที่อยู่ เฉพาะแต่รูปที่เป็นมนุษย์ สัตว์ต่างๆ หรือเปล่าครับ (เดี๋ยวเป็นอจินไตย จนได้)

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ กระผมจะขอศึกษา ฟังอบรมให้บ่อยๆ ครับ

มือใหม่หัดขับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 16 ก.พ. 2555

เรียนความเห็นที่ 5 ครับ

จากคำถามที่ว่า

การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราเป็นอย่างไร รูป คือทุกสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่ไม่รู้อารมณ์ นาม คือสิ่งที่รู้อารมณ์ นามจะอยู่กับสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น เป็นธาตุที่ต้องมีรูปคู่กันไป เพราะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกัน ส่วนต้นไม้ มีธาตุรู้หรือไม่ครับ (นาม) รูปทุกรูปดับไปทุกๆ เสี้ยววินาที (นาโนทีเดียว) ส่วนนามก็เช่นกัน

ผมก็ยังสงสัยต่อไปว่ารูปบางรูปดับไปช้าครับ (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์) อย่างเช่น เพชร ไม่รู้จะสลายไปกี่ร้อยกี่พันปี (อาจจะค่อยๆ สลายตัวไปช้าๆ ) ส่วนนามที่ไม่ดับมีไหมครับ คือนามต้องอาศัยรูปเป็นที่อยู่ เฉพาะแต่รูปที่เป็นมนุษย์ สัตว์ต่างๆ หรือเปล่าครับ (เดี๋ยวเป็นอจินไตย จนได้)


รูป เกิดดับเท่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งจริงๆ แล้ว รวดเร็วมากๆ เลยครับ เพียงแต่ว่า เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่าถึงการดับของรูป จนมันเสื่อมไปมากๆ จึงเห็นถึงความกร่อน ผุพังของหิน ของเพชร เป็นต้น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน ส่วนนามที่ไม่ดับ คือ นิพพาน เป็นนามธรรมที่ไม่เกิดจึงไม่ดับครับ ส่วนนามธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ จิต เจตสิก มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นและดับไป ครับ

ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญา ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ เพียงฟังพระธรรมเรื่องสภาพธรรมต่อไป ปัญญาจะเกิดทำหน้าที่เอง โดยไม่ต้องจัดการ หรือ พยายามที่จะคิด หรือจะทำอะไรทั้งสิ้น หน้าที่คือ ฟังพระธรรมต่อไปเท่านั้นครับ

ขออนุโมทนาที่เป็นผู้สนใจในพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 17 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 17 ก.พ. 2555
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ