ศาสดาของศาสนาในโลกปัจจุบัน ในอดีตชาติมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่?
ศาสดาของศาสนาในโลกปัจจุบัน ในอดีตชาติมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาภายหลัง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่ไม่ได้เห็น สิ่งนั้นเป็นจริงก็มี หรือ ไม่เป็นจริงก็มี เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า แต่ที่สำคัญที่สุด การที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ สำคัญที่จะต้องศึกษาคำสอนนั้นอย่างละเอียดรอบคอบเสียก่อน จึงจะเชื่อได้ หรือไม่เชื่อ ดังเช่น ในเกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) พระพุทธได้ตรัสไว้ว่า อย่าเชื่อเพราะได้ฟังตามกันมา ... อย่าเชื่อเพราะเดาเอาเอง อย่าเชื่อเพราะอ้างตำรา อย่าเชื่อเพราะผู้นั้นเป็นครูของเรา แต่เมื่อใดพวกเธอรู้ด้วยปัญญาตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล ก็พึงเชื่อด้วยปัญญาของตนเอง ครับ
ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมสอบถาม ชาวกาลามะ ว่า โลภะมีโทษหรือไม่มีโทษ ชาวกาลามะ ไม่ได้เชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนทันที แต่พิจารณาด้วยปัญญาของตนเอง ว่าอกุศลมีโทษตามความเป็นจริงอย่างนั้น จึงเชื่อในพระธรรม เชื่อในคำสอนของพระองค์ ครับ
จะเห็นนะครับว่า ชาวกาลามะ ไม่ได้เชื่อด้วยเพียงการเห็นด้วยตาเปล่า ว่าผู้แสดง คือ พระพุทธเจ้า น่าเลื่อมใส แต่ชาวกาลามะ เชื่อด้วยปัญญาของชาวกาลามะเองที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้น จึงเชื่อด้วยปัญญา ซึ่งเป็นการเชื่อที่ตรงตามความเป็นจริง
ดังนั้น การจะตัดสินสิ่งใดว่าจริง หรือ ไม่จริง จึงไม่ได้อยู่ที่การไม่ได้เห็น หรือ ได้เห็น ด้วยตาเปล่าในปัจจุบัน จึงปฏิเสธว่ามี หรือ ไม่มี ครับ แต่พิจารณาสิ่งที่ผู้นั้น ที่ศาสดา นั้นแสดงว่าจริง ถูกต้องหรือไม่ เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาในคำสอนของแต่ละศาสนา ก็ย่อมรู้ว่าสิ่งใดจริง หรือ ไม่จริง หากยังไม่ได้ศึกษาในคำสอนนั้นจริงๆ ก็เท่ากับว่า ปฏิเสธ หรือ ยอมรับในสิ่งที่ตนยังไม่ได้ฟัง หรือ ยังไม่ได้ศึกษา ครับ
แม้ในสมัยพุทธกาล พระสาวก เมื่อได้ฟังคำกล่าวของพวกนอกศาสนา ก็จะมีข้อความ ที่ว่า ท่านไม่ยินดีและไม่คัดค้านคำนั้น คือ เหล่าสาวกทั้งหลาย ไม่ยินดี (เชื่อทันที) และไม่คัดค้าน (ปฏิเสธ) ทันที แต่นำความข้อนั้น มาสอบถามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม ไม่ใช่ว่า พระพุทธเจ้าปฏิเสธว่าสิ่งนั้นไม่จริง หรือ ยอมรับเลยว่าสิ่งนั้น จริง ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า แต่พระองค์แสดงเหตุผล ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเหล่าสาวกก็พิจารณาตามด้วยปัญญา ไม่ได้เชื่อทันที ก็พิจารณาแล้วเกิดปัญญา จึงรู้ว่าอะไรถูก หรือ ไม่ถูกครับ แม้แต่ท่านพระสารีบุตร ท่านก็ได้ทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์ไม่ได้มีความเชื่อในพระองค์ทันทีเลย แต่เพราะข้าพระองค์ได้ฟังธรรม พิจารณาด้วยปัญญา จึงเชื่อ พระพุทธองค์ เพราะปัญญาของข้าพระองค์เกิดนั่นเองครับ
ดังนั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ผู้ที่จะยอมรับ หรือ ปฏิเสธ ว่าศาสดามีหรือไม่ ในอดีต ก็ต้องศึกษาคำสอนนั้นให้ละเอียดถ่องแท้ ก็จะพบคำตอบเองด้วยปัญญา เพราะการตัดสินอะไร ไม่ได้อยู่ที่การไม่ได้เห็น จึงเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่อยู่ที่ ตา คือ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการศึกษาในคำสอนนั้น ก็จะรู้เอง อันเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน เพราะปัญญาเป็นของแต่ละคน ไม่สาธารณะทั่วไป ครับ ศึกษาคำสอนนั้นให้ละเอียดก่อน จึงจะเชื่อ หรือไม่เชื่อว่าศาสดามีจริง หรือไม่มีจริง ครับ สิ่งที่ไม่เห็นไม่จำเป็นจะต้องมีจริง หรือไม่มีจริง สิ่งที่เห็นไม่จำเป็นว่าจะต้องจริง หรือไม่จริง ตัดสินด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ตาเปล่าเท่านั้น ด้วยการศึกษาคำสอนนั้นอย่างละเอียดลึกซึ้ง
สิ่งที่เห็น ไม่จำเป็นจะต้องจริง นอกจากรู้ด้วยปัญญา จึงจะรู้ว่าอะไร จริง ไม่จริง ครับ แม้แต่ที่สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคล ความเป็นจริง ก็เป็นแต่เพียงคิดนึก เพราะความจริงมีแต่ธรรม ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป
ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ศาสดา (สตฺถุ) คือ ใคร
ศาสดา คือ ผู้สอน มีความแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถสรุปได้ ว่า ผู้สอนหรือเจ้าลัทธิต่างๆ นั้น มีมากแม้ในสมัยพุทธกาล ก็ยังมี เช่นพวกครูทั้ง ๖ ที่เที่ยวเผยแพร่ความเห็นผิดแก่ผู้อื่น เพราะคำสอนของพวกเหล่านี้ มีเพียงความเห็นผิดเท่านั้น นี้ก็เป็นศาสดาประเภทหนึ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป มีชีวิตดำเนินไป เป็นไปกับด้วยกิเลสอกุศลเป็นส่วนมาก ตนเองมีความเห็นผิดยังไม่พอ ยังชักชวนให้ผู้อื่นเห็นผิดตามไปด้วย ซึ่งก่อนที่จะได้มาเป็นบุคคลในชาตินั้นๆ ก็ต้องเคยเกิดวนเวียนในสังสารวัฏฏ์อย่างยาวนาน และจะต้องมีการเกิดต่อไปอีก ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล มีแต่ธรรมเท่านั้น, ส่วนพระศาสดาผู้ยิ่งกว่าศาสดาใดๆ ในโลก คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นบรมศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กว่าพระองค์จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานในแต่ละภพในแต่ละชาติ เมื่อยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย จนกว่าพระบารมีจะสมบูรณ์พร้อม ก็ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงดำเนินไปเพื่อทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง มีผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม บุคคลผู้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ย่อมได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุญาตสรุปคำตอบโดยใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่ายที่ทุกท่านตอบมาคือ เราต้องใช้ ปัญญาในการพินิจพิจารณาว่าสิ่งใดมีอยู่ จริง หรือ ไม่จริง เช่นนั้น ใช่ไหม ที่ไม่เห็น อาจมีอยู่จริงและสัมผัสได้ เช่น แสงแดด สายลม อากาศร้อน หนาว อันนี้พอจะเข้าใจได้ สรุปก็คือ ไม่มีใครทราบว่าศาสดาเหล่านั้นเคยมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ในอดีตกาล เช่นนั้น รอยพระพุทธบาทที่เราบูชากราบไหว้ คืออะไร รู้แจ้ง แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นรอยของท่านจริงๆ ทำไมมีขนาดใหญ่โตกว่ารอยเท้ามนุษย์ปกติ (เคยได้ยินมาว่ามีการสร้างสิ่งต่างๆ ครอบรอยจริงเอาไว้) เรื่องนี้อธิบายได้ว่าอย่างไร แล้วท่านจะเคยมาเหยียบถึงแผ่นดิน สุวรรณภูมิของเราเชียวหรือ ท่านเป็นคนอินเดียนะ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
รอยพระบาทที่แท้จริง ที่ตามที่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ ที่อินเดียและศรีลังกา แต่ที่อื่นไม่ได้แสดงไว้ ปัญหาก็มาที่จุดเดิม คือ เราจะต้องศึกษาพระธรรมส่วนอื่นๆ ด้วย หากเราจับเพียงหางช้าง โดยที่หลับตาอยู่ ก็อาจสำคัญว่าช้าง คือ เป็นงู เพราะไม่ได้ดูภาพรวมและศึกษาลักษณะของช้างอย่างละเอียดนั่นเองครับ
ดังนั้น ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนนั้นจริงๆ อย่างละเอียด ลึกซึ้ง ก็จะได้สาระจากพระธรรม และจะได้คำตอบเองในสิ่งที่ถามและสงสัย แม้ในสิ่งที่มองไม่เห็นครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาได้ที่นี่ครับ เริ่มจากตรงนี้ครับ