การเห็นกับการได้ยินรู้ได้พร้อมกันหรือไม่

 
wanipa
วันที่  22 ก.พ. 2555
หมายเลข  20602
อ่าน  1,361

มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ เนื่องจากเคยฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคยกล่าวว่า การเห็นกับการได้ยินจะเกิดได้ทีละครั้ง (อาจจำถ้อยคำไม่ครบถ้วน) จะเกิดพร้อมกันไม่ได้ จึงอยากขอเรียนถามค่ะ ตัวอย่างเช่น ในขณะดูทีวี อาจดูละคร หรือ การแสดงดนตรี เราก็มองเห็นและได้ยินเสียงไปพร้อมกัน ทำให้รู้เรื่องราว หรือ ได้เห็นภาพและได้ยินเสียงร้องเพลงในขณะเดียวกัน ถ้าไม่พร้อมกันเราจะสังเกตอย่างไรว่า ไม่ได้เกิดพร้อมกัน กรุณาช่วยอธิบายเพื่อเพิ่มพูนปัญญาค่ะ

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในบุญกุศลค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตจะเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ จิตจะไม่เกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะเป็นต้น ดังนั้น จิตเห็น กับ จิตได้ยิน จึงไม่เกิดพร้อมกัน จิตเห็นเกิดขึ้นทางตา ส่วนจิตได้ยิน เกิดขึ้นทางหู เป็นคนละทางกัน กว่าที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น ก็มีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ไม่ใช่จะเห็นในทันที กว่าที่จิตได้ยินจะเกิดขึ้น ก็มีจิตเกิดก่อนจิตได้ยิน ไม่ใช่จะได้ยินในทันที และที่สำคัญ จากขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ไปถึง ขณะที่จิตได้ยินเกิดขึ้น มีจิตเกิดดับสืบต่อกันมากกว่า ๑๗ ขณะ ที่มีการรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเห็นแล้วคิด หรือ ที่รู้เรื่องราวต่างๆ เพราะได้ยินแล้วคิดต่อ นั่นเอง ทั้งหมดล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งนั้น ทั้งในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน และในขณะที่คิด นี้คือ ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง เพราะแสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครทำหรือบังคับให้สภาพธรรมเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย, จะได้ความละเอียดของพระธรรม มั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมมากขึ้น แม้แต่ในเรื่องของจิตเห็น กับ จิตได้ยิน ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจ เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง ครับ

ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทบทวนได้ที่นี่ครับ

กว่าจะมีการเห็น การได้ยิน

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 22 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง จิตและเจตสิกเกิดขึ้นและดับไป อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อจิตเกิดขึ้นก็เป็นจิตประเภทเดียวที่เกิดขึ้น จะไม่มีจิตอื่นมาเกิดพร้อมกันในจิตเดียวกันได้ ต้องจิตประเภทนั้นดับไป จิตอื่นจึงเกิดต่อได้ ครับ จิตเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีกิจหน้าที่ ซึ่งจิตแต่ละประเภท ก็มีกิจ หน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ตามประเภทของจิต ครับ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง เป็นจิต ชาติวิบาก ที่เป็นผลของกรรม ซึ่งจิตทั้ง ๕ อย่างที่กล่าวมา ก็มีกิจหน้าที่ของแต่ละจิต ที่แตกต่างกันไป ไม่ซ้ำกันเลย เช่น การเห็น หรือ จิตเห็นเมื่อเกิดขึ้น ทำหน้าที่เห็นเท่านั้น ไม่ทำหน้าที่อื่น ดังนั้น ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นกำลังเห็น เห็นสิ่งที่ ปรากฎทางตา ที่เป็นสี เท่านั้น ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย ขณะที่เห็น ไม่ได้คิด ไม่ได้รู้เสียง ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รู้รส แต่ทำหน้าที่เห็น สิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น ขณะที่จิตเห็น เกิดขึ้น และธรรมชาติของจิต ที่เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อม ดับไป เมื่อดับไปแล้ว หากยังไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ ย่อมมีเหตุปัจจัยให้จิตดวงอื่นๆ เกิดต่อทันทีอย่างรวดเร็ว เห็นแล้ว ก็มีจิตประเภทอื่นๆ เกิดต่อ มี สัมปฏิฉันนะ รับ อารมณ์ที่เป็นสีต่อ สันตีรณะจิต พิจารณาอารมณ์นั้น และจิตอื่นๆ จนถึง ชวนจิต คือ เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิตในขณะนั้น ที่ได้เห็น และก็ถึงวาระจิตอื่น เป็นทางใจ มโนทวาร คิดถึง รูปร่างสัณฐาน ทำให้รู้ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งต่างๆ หลังจากที่มีการคิดนึกครับ และเมื่อคิดนึกแล้ว วิถีจิตทางปัญจทวาร ก็อาจเกิดต่อก็ได้ อาจจะได้ยินเสียง หรือ อาจจะคิดต่อทางใจก็ได้ ซึ่งก็แล้แต่ว่าจะเป็นอย่างไร เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เลย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 22 ก.พ. 2555

จึงสรุปได้ว่า ขณะที่เห็นเกิดขึ้น จะได้ยินไม่ได้เลย เพราะจิตเห็นกำลังเกิดทำหน้าที่เห็น สิ่งที่ปรากฎทางตา และยังไม่ได้ดับไป จิตอื่นจะมาเกิดร่วมด้วย ในขณะนั้นไม่ได้ ซึ่งตัวอย่างที่ผู้ถามยกมานั้น คือ ขณะที่ดูละคร การแสดงดนตรี ขณะนั้นก็เห็นด้วย และก็ได้ยินพร้อมๆ กับที่เห็น ไม่เห็นว่า เห็นนั้นดับไปเลย ซึ่ง ตามที่กล่าวแล้วครับว่า เมื่อเห็นแล้ว ก็คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็น ตัวละครต่างๆ และก็ได้ยินเสียงตัวละคร ที่พูดด้วย แถมรู้ด้วยว่า เป็นใครที่พูดในตัวละครนั้น ก็เพราะว่า เมื่อมีการเห็น ขณะที่ เห็น ไมได้ยิน แล้วก็คิดนึกในสิ่งที่เห็นว่าเป็นใคร แล้วก็เกิดทางปัญจทวารที่เป็นการได้ยินเกิดต่อในขณะนั้นอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียง ขณะที่ได้ยิน ยังไม่รู้ว่าเป็นเสียงใครเลย แต่ขณะที่ได้ยิน ได้ยินเสียงเท่านั้น แต่ทางมโนทวาร ทางใจเกิดต่ออย่างรวดเร็ว นึกคิด ในสัณฐาน ลักษณะของเสียงนี้ ว่าเป็นเสียงคนนั้นคนนี้ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง ขณะนั้นเห็นต้องดับไปแล้ว ขณะที่ได้ยินเสียง ที่สำคัญ ไม่ต้องรอถึงได้ยิน เห็นก็ดับ เพียงแค่เห็น ดับไปแล้วทางปัญจทวาร ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เห็นก็ดับไปแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าดับ เหตุผลเพราะว่าความรวดเร็วของการเกิดดับของจิตที่เกิดดับ สืบต่ออย่างรวดเร็วทำให้เหมือนกับว่า เห็นไม่ได้ดับเลย แถมได้ยินพร้อมกับเห็นอีก เพราะว่า มีการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วนั่นเอง จึงไม่เห็นว่าเห็นนั้นดับ และไม่รู้ว่าเสียงก็ดับไปด้วย ดังเช่น เราแกว่งก้านธูปอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เห็นการสืบต่อของแสงนั้น ทั้งๆ ที่แสงไฟมีจุดเดียว แต่ก็สามารถทำให้เห็นเป็นแสงวงกลมไม่ขาดสายได้เลย ฉันใด แม้การสืบต่อของจิตแต่ละขณะที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เห็น แล้วเห็นเป็นอะไร และเป็นเสียงของใคร จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนแล้วครับ สุดประมาณ เพราะความเกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงสามารถเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ และก็ได้ยิน และก็เห็นด้วยครับเหมือนพร้อมกัน ไม่ได้ดับไปเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 22 ก.พ. 2555

ซึ่งคำถาม ถามต่อไปว่า ถ้าไม่พร้อมกันเราจะสังเกตอย่างไรว่า ไม่ได้เกิดพร้อมกัน

กรุณาช่วยอธิบายเพื่อเพิ่มพูนปัญญาค่ะ


การสังเกตด้วยตาเปล่า ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยครับ ต้องเห็นด้วยปัญญาระดับสูง ส่วนการพิจารณาเพียงขั้นการไตร่ตรองคิดนึก ก็พิจารณาได้ แต่ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงต้อเงป็นปัญญาที่คมกล้ามาก ระดับสูงที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๓ และ ๔ ที่สามารถรู้การเกิดดับของจิตแต่ละขณะ ในขณะที่กำลังเกิดได้จริงๆ ครับ เพราะฉะนั้น เราก็เพียงเข้าใจขั้นเรื่องราวตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ว่าขณะเห็น ิเห็นเกิด ไม่มีจิตอื่นเกิดร่วมด้วย เห็นต้องดับไปก่อน จิตอื่นถึงจะเกิดได้ พิจารณาว่า ถ้าเห็นเที่ยง ไม่เกิดดับจริงๆ ก็ต้องเห็นอย่างเดียว ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิดนึก นี่คือการคิดพิจารณาเพียงขั้นเรื่องราวของสภาพธรรมที่เกิดดับเท่านั้น ซึ่งยังไม่สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้จริงๆ ครับ

แต่ที่สำคัญ ไม่ต้องห่วงเรื่องการคิดอย่างไร ที่จะรู้ว่าสภาพธรรมนั้นเกิดดับพราะเป็นการข้ามขั้นตอนของการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง เพราะปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ คือ ตามระดับของวิปัสสนาญาณ เพราะการรู้การเกิดดับเป็นเรื่องที่ไกลที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๓ และ ๔ ดังนั้นควรเริ่มจากเบื้องต้นครับว่า ปัญญาขั้นแรกต้องเริ่มจากเข้าใจคามจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา คือ เข้าใจก่อนว่า เป็นธรรม เพราะหากยังไม่รู้จักว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วจะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้ลักษณะของธรรมเลย ครับ

ดังนั้น จึงไม่ต้องไปเริ่มจากการจะพิจารณาว่าเกิดดับได้อย่างไร เพราะเหลือวิสัยและไม่ใช่การเจริญปัญญาตามลำดับ ขอให้เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจอย่างมั่นคงถ่องแท้จริงๆ ครับว่า ธรรมคืออะไร อะไรเป็นธรรมบ้าง แม้แต่คำว่า ธรรม คำเดียวให้เข้าใจจริงๆ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาเป็นลำดับที่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา รู้ที่ตัวธรรมที่กำลังปรากฏ คือ เกิดสติปัฏฐาน ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ ขอให้เริ่มจากเบื้องงต้นครับ

ฟังพระธรรมให้เข้าใจ แม้แต่คำเดียว ธรรม ให้เข้าใจริงๆ ซึ่งเมื่อเราเริ่มจากเหตุที่ถูก เป็นไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้นแล้ว ย่อมสามารถถึงปัญญาระดับสูง คือ การเห็นการเกิดดับในอนาคต ครับ

ส่วนการพิจารณาเรื่องราวการเกิดดับ ก็ไม่ได้ทำให้รู้การเกิดดับได้จริง ควรเข้าใจ ฟังเบื้องต้น ในเรื่องของสภาพธรรม ว่า ธรรม คืออะไร เพื่อเป็นปัจจัยให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wanipa
วันที่ 23 ก.พ. 2555

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 23 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ