ชวนะ ๖ ขณะ มี ๑ คือเวลาคนป่วยหนัก เป็นอย่างไร
ขอเรียนถามครับ
เจอข้อความที่เกี่ยวกับชวนะ ซึ่งคนทั่วไปจะมี ๗ ขณะ
ถ้าชวนะ ๖ ขณะ มีในเวลาคนป่วยหนัก เป็นอย่างไรครับ
ขออนุโทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า ชวนจิต ก่อนครับ ชวนจิต คือจิตที่แล่นไปโดยเร็ว หมายถึง จิตที่เป็นชาติกุศลหรืออกุศลของผู้ที่ไม่ใช่ พระอรหันต์ หรือกิริยาของพระอรหันต์ และวิบากจิตที่เป็นโลกุตตรจิตที่ทำกิจชวนะ เรียกว่า ชวนจิต มี ๕๕ ดวง คือ อกุศลจิต ๑๒ ดวง กุศลจิต ๒๑ ดวง สเหตุกกิริยาจิต ๑๗ ดวง อเหตุกกิริยาหสิตุปาทจิต ๑ ดวง โลกุตตรวิบากจิต ๔ ดวง
ดังนั้น ชวนจิต จึงเป็นจิตที่แล่นไปในขณะนั้นที่เป็นกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง กิริยาจิตบ้าง หรือวิบากจิต ครับ
ชวนจิต เป็นจิตที่แล่นไปเสพอารมณ์ซ้ำๆ กัน โดยปกติเกิดดับติดต่อกัน ๗ ขณะ เช่น ขณะนี้ ที่กำลังเห็น แล้วเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ชวนจิตเกิดติดต่อกัน ๗ ขณะ เป็นจิตชาติเดียวกัน คือ จิตขณะที่ ๑ - ๗ เป็นจิตชาติเดียวกัน ถ้าเป็นกุศลจิต ก็ต้องเป็น ชาติกุศล ทั้ง ๗ ขณะ แต่ในขณะสลบ ๖ ขณะ ส่วน ชวนวิถีวาระสุดท้ายก่อนจุติ ๕ ขณะ ขณะที่เข้าฌานสมาบัติหรือผลสมาบัติ มีชวนจิตมากมายจนนับไม่ได้
ดังนั้นขณะที่สลบ แต่ไม่ควรกล่าวว่าป่วยหนัก เพราะขณะที่ป่วยหนัก อาจจะไม่สลบก็ได้ หรือ คนที่ไม่ป่วยหนัก อาจจะสลบไปก็ได้ ดังนั้น ควรกล่าวว่า ขณะที่สลบนั้น มีชวนจิต เกิดขึ้น ๖ ขณะ ในขณะนั้น ครับ เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่ป่วย หรือ ไม่ป่วยหนัก เกิดสลบขึ้น ขณะนั้นจะต้องมี ชวนจิต ๖ ขณะเท่านั้น ไม่ใช่ ๗ ขณะที่เป็นปกติทั่วไป ซึ่งเมื่อใดที่ชวนจิต ๖ ขณะเกิดขึ้น ขณะนั้นคนนั้นก็อยู่ในสภาพที่สลบนั่นเองครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่สลบ ชวนจิตเกิด ๖ ขณะ ซึ่งเป็นขณะที่อ่อนกำลังกว่าขณะปกติ ซึ่งปกติจะมีชวนจิต ๗ ขณะ และในขณะที่เป็นชวนะก่อนที่จุติจะเกิดขึ้น มีชวนจิต เกิด ๕ ขณะ ซึ่งเป็นจิตที่มีกำลังอ่อนมากแล้ว ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ชวนจิต เกิดขึ้นเป็นไปเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล, ในขณะที่ป่วยหนัก ต้องมีจิตเกิดขึ้น ต้องมีชวนจิตเกิดขึ้น ซึ่งเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่ที่แน่ๆ ถ้าไม่ใช่ในขณะที่สลบ กับ ไม่ใช่ชวนะก่อนจะจุติ ชวนจิตย่อมมี ๗ ขณะ เกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ สภาพธรรมเป็นจริงอย่างนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณครับ ... และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขณะสลบไป ... เป็นคน ไม่รู้สึกตัว การไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกอะไรเลย ... น่าจะเป็นภวังคจิต แต่ ... การมีชวนจิต แสดงว่า มีวิถีจิต ช่วงที่สลบ มีชวนจิต ได้อย่างไร มีวิถีจิต แล้วทำไมจึงไม่รู้สึกตัว เกิดความสงสัยครับ
ช่วยอธิบายขยายความด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
ขณะที่สลบ เป็นชวนจิต ๖ ขณะ ซึ่งขณะนั้นเป็น วิถีจิต จึงไม่ใข่ ภวังคจิต ที่ไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลยครับ เพียงแต่ว่า สลบนั้น ที่เป็นชวนจิต ๖ ขณะ มีกำลังอ่อนมากๆ จึงเหมือนว่า ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อาจจะมีการรู้อารมณ์โลกนี้ แต่เพียงแผ่วเบา ทำให้เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลย แท้ที่จริง ชวนจิต ๖ ขณะ มีกำลังอ่อนมาก จึงเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ครับ แต่อาจจะมี แต่เบาบางมากนั่นเอง จนไม่สามารถที่จะรู้ หรือ จำได้ครับเมื่อฟื้นจากที่สลบ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
แสดงว่า การหลับสนิท โดยไม่ฝันนั้น มีความไม่รู้สึกตัว สูงกว่า การสลบอีก หรืออีกนัยหนึ่ง การสลบ ... มีโอกาสที่คนผู้นั้นจะฝันได้ ในขณะสลบ เนื่องจากมีวิถีจิต สลับกับภวังคจิต แต่การหลับสนิท เป็นภวังคจิต ล้วนๆ (ไม่มีการฝัน)
ผมเข้าใจถูกต้อง มั้ยครับ