พระสงฆ์ ในปัจจุบัน ควรค่าแก่การกราบไหว้ ยกย่องหรือไม่ อย่างไร?

 
อยากรู้จึงถาม
วันที่  28 ก.พ. 2555
หมายเลข  20643
อ่าน  6,846

เราจะรู้ได้เช่นไรว่าพระที่บวชอยู่นั้น ควรแค่แก่การกราบไหว้ ยกย่องให้เกียรติว่าอยู่ในเพศที่สูงกว่าปุถุชนทั่วไป

ทำไมเรายังเห็นพระเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้า (อาจซื้อของจำเป็น) ทำไมเราจึงเห็นพระเดินซื้อแผ่นผี ที่ไหนบ้างคงไม่ต้องบอก

ทำไมเรายังเห็นข่าวพระกะเทยหัวโล้นแต่งหน้าทาปาก คาดผ้าเหลืองกลางลำตัวประดุจชุดกิโมโน เหล่านี้เห็นแล้วเสื่อมศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เช่นนี้จะทำอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นพระภิกษุ มี ๒ อย่าง คือ พระสงฆ์โดยสมมติ และ พระสงฆ์โดยปรมัตถ์ ภิกษุที่บวชมาในธรรมวินัยนี้ ที่เป็นแต่ละบุคคล ก็เป็นพระภิกษุสงฆ์โดยสมมติ ส่วนพระสงฆ์โดยปรมัตถ์ หมายถึง คุณธรรมของพระอริยบุคคล ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริง โดยปรมัตถ์ ดังนั้น ความประพฤติของแต่ละคนที่บวชแล้ว ก็เป็นความประพฤติของแต่ละคน ไม่ใช่ว่า บวชแล้วจะเป็นคนดีทันที ก็ย่อมมีส่วนที่ไม่ดี เป็นธรรมดา เพราะสะสมกิเลสมามาก

ดังนั้น เมื่อเราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่เข้าใจพระธรรม จึงไหว้พระภิกษุสงฆ์ ด้วยการไหว้ เคารพในสงฆ์ที่เป็นปรมัตถ์ ที่เป็นคุณธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้ไหว้เฉพาะเจาะจงในความประพฤติของแต่ละบุคคล ครับ ดังนั้น กุศลจิตเกิดได้ ไม่ว่ากับการเห็นใคร และ การกระทำของใคร หากมีความเข้าใจพระธรรม

แม้แต่เพศคฤหัสถ์ แต่ละคนก็มีอุปนิสัยแตกต่างกัน มีทั้งดีมาก ดีน้อย ก็มีมากมายแต่เราก็สามารถกราบไหว้ ที่บุคคลนั้นเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา แต่เราไม่ได้กราบไหว้ เคารพ ในความไม่ดีของเขา ที่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่เช่นนั้น เราก็ไม่ต้องไหว้ คนในโลกนี้ ที่เป็นคฤหัสถ์ที่ต่างสะสมกิเลสมามากและก็มีส่วนที่ไม่ดี สะสมมา และ ทำผิดบ้างเป็นธรรมดา ครับ ดังนั้น กุศลจิตก็เกิดได้ ไม่ว่าพบปะ เกี่ยวข้องกับบุคคลใดที่เป็นเพศคฤหัสถ์ด้วย เพราะมีปัญญาเป็นสำคัญ ครับ

ความประพฤติที่ไม่ดี เป็นเรื่องของคนอื่น สำคัญที่ใจเรา ว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะที่เป็นอกุศลกับคนอื่น ขณะนั้นก็ไม่ดีแล้ว ไม่ต่างกับอกุศลของคนอื่นเลย เพราะ อกุศลของใคร ก็ชื่อว่าไม่ดีทั้งนั้น ดังนั้นจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับให้ใครเป็นอย่างไร ที่จะจัดการโลก แต่สำคัญคือ สละขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญและอบรมปัญญาของตนเอง เพราะเมื่อมีปัญญาที่เป็นเครื่องนำทางที่ดีแล้ว ก็ย่อมเข้าใจในสิ่งที่เห็น ได้ยินและไม่เป็นอกุศลในสิ่งที่เห็น ได้ยินครับ สำคัญที่ตัวเราเป็นสำคัญ ไม่ใช่คนอื่น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วิริยะ
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
อยากรู้จึงถาม
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอบพระคุณในคำตอบ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
sira
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนากับความเห็นที่ทำให้กระจ่าง และคำถามที่ปัจจุบันได้ยินแบบนี้เสมอๆ

การแก้ไขตนสำคัญกว่าการแก้ไขที่ไม่ใช่ตน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญา จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุด ถึงความเป็นพระอรหันต์ จะให้เป็นผู้มีความประพฤติเป็นไปที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลสเป็นส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นโทษของกิเลสมากน้อยแค่ไหน ที่จะได้ขัดเกลาละคลายให้เบาบาง

ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะธรรมฝ่ายดีเท่านั้น แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม อกุศลก็เป็นธรรม แต่เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ที่ควรรู้ตามความเป็นจริงแล้วค่อยๆ ขัดเกลาให้เบาบางลง, อกุศลเป็นอกุศล ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม เกิดกับบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ก็ไม่ดีทั้งนั้น และโดยปกติก็เกิดขึ้นบ่อยมากในชีวิตประจำวันตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล ผู้ที่ไม่คล้อยตามพระธรรมวินัย ไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร เพราะกำลังสร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเองที่จะทำให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าและพอกพูนกิเลสอกุศลให้มากขึ้น การโกรธ การไม่พอใจ ในผู้ที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาสมนั้น ย่อมไม่ควรโดยประการทั้งปวง เพราะเป็นอกุศล ไม่ใช่ธรรมฝ่ายดีเลย

เมื่อศึกษาธรรมเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ ก็จะไม่เกิดความไม่พอใจ ความโกรธ เมื่อได้ทราบหรือพบเห็นการกระทำที่ไม่ดีของบุคคลเหล่านั้น เพราะเหตุว่า การกระทำของบุคคลอื่นไม่เป็นประมาณ ที่สำคัญ คือ รักษาใจของตนเองไม่ให้เป็นอกุศลประการต่างๆ

ดังนั้น การได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก นั้น จึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
homenumber5
วันที่ 3 มี.ค. 2555

เรียนท่านเจ้าของกระทู้และท่านวิทยากร

กรณีนี้หากดิฉันคิดว่าขณะ เมื่อ นมัสการนั้น เราระลึกเรื่องอะไร หากระลึกเรื่องกุสล เช่น ผ้าไตรจีวร ที่ภิกขุครองนี้เป็นของสูง พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ และทรงบัญญัติพระวินัยอีก ๒๑๐๐๐ พระรรมขันธ์ และ ภิกขุปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ และมิได้เพ่งว่า ภิกขุท่านนี้มีวินัย มีความเหมาะสมที่จะรับการกราบไหว้หรือไม่ เราก็ได้กุสลดีไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Yongyod
วันที่ 5 มี.ค. 2555

ตราบใดที่ยังมีตัวตนอยู่ ก็คงเลือกที่จะเลือกกราบไหว้รึไม่กราบ การกราบไหว้ก็ต้องมีปัญญา มัวแต่สงสัยว่าพระรูปนี้น่ากราบ ไม่น่ากราบ ระลึกรู้สภาพจิตของตนในขณะนั้นไหมครับว่าเป็นอย่างไร เป็นอกุศลโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย คนมีปัญญาจะระลึกรู้ได้เร็ว ระลึกรู้ได้เร็วก็ละเร็ว แล้วรีบเจริญกุศลไม่ดีกว่ารึครับ ควรที่จะระลึกรู้ให้เห็นเป็นสิ่งที่ปรากฏ สีสันวรรณะแบบนี้ ที่สมมติเรียกกันว่าพระสงฆ์ ที่เรากราบไหว้ไม่ได้กราบที่รูปธรรมครับ เรากราบที่คุณธรรมของพระสงฆ์

จากบทสวดมนต์ ถ้าพิจารณาดีๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ ที่ว่า หมู่สงฆ์สาวกหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกไปจากทุกข์แล้ว ไม่ได้กล่าวว่าสงฆ์ทุกหมู่นี่ครับ ข้าขอเคารพพระสงฆ์ หมู่นั้นค้วยเศียรเกล้า แต่เราจะรู้ได้ว่าหมู่ใดปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็ด้วยปัญญาของเราเองด้วย ปัญญาจะเกิดก็ต้องศึกษาธรรมะให้เข้าใจครับ

ขออนุโมทนา อกุศลเกิดง่ายกว่ากุศล ในวันหนึ่งเกิดแล้ว สะสมต่อไป คนมีปัญญาก็จะรีบกวาดขยะออกไปนะครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ