เราบวชเพื่อความสมถะ ละวาง ตัดกิเลส

 
อยากรู้จึงถาม
วันที่  28 ก.พ. 2555
หมายเลข  20645
อ่าน  1,932

เหตุใดยังต้องมีการจัดลำดับชั้นและมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

พระชั้นผู้ใหญ่มีรถประจำตำแหน่ง มีคนขับรถ มีกุฏิติดเครื่องปรับอากาศ มีสมณศักดิ์ มีหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่มองมุมใดก็เป็นกิเลสและการอำนวยความสะดวกสบายทั้งสิ้น บางอย่างเข้าใจได้ว่าควรมี ควรใช้ แต่สิ่งที่เหลือจากความพอดี พอเหมาะสมจะให้คำอธิบาย เช่นไร เหตุใดจึงต้องมี


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกไปเป็นตามอำนาจของธรรมอย่างหนึ่ง คือ จิต เพราะจิตก็ทำให้สัตว์ไปอย่างนั้น ดังนั้น สัตว์โลกก็เป็นไปตามการสะสมของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกที่สะสมมาแตกต่างกันไป ทำให้มีความประพฤติแตกต่างกันไป และมีความคิดที่แตกต่างกันไป เพราะเหตุนั้น จึงทำให้มีการบัญญัติสิ่งต่างๆ ตามความคิดที่ถูกบ้าง ผิดบ้างเป็นธรรมดา

ดังนั้น แต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง แสดงถึงกิเลสที่สะสมมา ก็ทำให้มีความประพฤติเป็นไปอย่างนั้น หากมองเป็นสัตว์ บุคคล ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หากแต่ว่ามองที่ตัวสภาพธรรมแล้ว ก็เป็นเพียง กิเลสที่เกิดขึ้น ที่สะสมมามาก ก็ทำให้มีการกระทำที่เป็นไปกับกิเลส เพราะกิเลส ไม่ได้เลือกเพศที่จะเกิดขึ้นเลย ผู้ใดสะสมกิเลสมา ไม่ว่าเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ เมื่อมีเหตุปัจจัย กิเลสก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเป็นใครที่มีกิเลส นอกเสียจากว่า กิเลสเป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น ไม่มีใครที่ไม่ดี มีแต่จิตที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นทำหน้าที่เป็นไปอย่างนั้น ครับ

ดังนั้น สิ่งที่ไม่ดี ก็ย่อมเกิดจากอกุศลจิตที่ไม่ดี ไม่ขัดเกลา ไม่ละคลายก็เกิดจากอกุศล อันมีเหตุจากกิเลสที่สะสมมา ซึ่ง แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้สัตว์โลกทั้งหมดเป็นไปในอำนาจและสละขัดเกลากิเลสได้ทุกคน เพราะแต่ละคน ก็ต่างจิต ต่างใจ ตามการสะสมมา ครับ

ประโยชน์ของสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน สำคัญที่ประโยชน์ของตนเองว่าเมื่อเห็นแล้ว จิตเป็นอย่างไร เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะประโยชน์คือไม่ใช่การจะทำให้โลกเป็นไปในอำนาจ เพราะโลกแต่ละคน ก็คือจิตที่เกิดขึ้นของแต่ละคน ใจของเราต่างหากที่เห็น ได้ยิน แล้วเข้าใจความจริงหรือไม่เข้าใจว่าเป็นต่เพียงธรรม ไม่มีใคร มีแต่อกุศล กิเลสที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนก็มีกิเลสเสมอกัน ตราบใดที่เป็นปุถุชน ดังนั้นหน้าที่ที่ถูกต้อง คือ ศึกษาขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญครับ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้ายังคงอยู่ อันเป็นสาระที่ควรศึกษาไม่ใช่เรื่องอื่น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
อยากรู้จึงถาม
วันที่ 28 ก.พ. 2555

หมายความว่า สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเป็นเรื่องของพระแต่ละรูปที่จะเลือกมีหรือไม่มี รับหรือไม่รับ ใช้หรือไม่ใช้ตามกิเลสที่พระเหล่านั้นยังมี เช่นนั้นหรือ และตามความเข้าใจและปัญญาอันน้อยนิด ตามคำตอบที่ให้มา ท่านกำลังจะบอกเป็นภาษาง่ายๆ ว่า ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ให้ศึกษาและขัดเกลาตัวเองจะดีกว่าเช่นนั้นหรือ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่มีอัธยาศัยจริงๆ ในการที่บวชเป็นบรรพชิต ย่อมสามารถที่จะละอาคารบ้านเรือน วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ แล้วบวช ซึ่งเมื่อบวชแล้ว ก็มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลสของตนเอง อย่างนี้ คือ ผู้ที่มีอัธยาศัยน้อมไปในการบวชจริงๆ และ เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลสประการต่างๆ มีแต่ความติดข้องต้องการ มีความมักมาก เป็นต้น หรือ คฤหัสถ์มีอะไร ก็จะมีเหมือนอย่างคฤหัสถ์ อย่างนี้ เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น ไม่ใช่วิสัยของผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะเป็นบรรพชิตที่แท้จริง และการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นความประพฤติที่ไม่สมควร เป็นอาบัติ เป็นโทษแก่ตนเองอย่างเดียว ก็ขอให้พิจารณาจากชีวิตของบรรพชิตในสมัยพุทธกาล ที่ออกบวชเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสทั้งปวงจะดับหมดสิ้นไปจริงๆ มีอัธยาศัยน้อมไปในความเป็นบรรพชิตจริงๆ และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะจุดประสงค์ของการบวชเป็นบรรพชิต ในพระพุทธศาสนา นั้น คือ เพื่ออบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง เท่านั้นถ้าไม่ได้บวชเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวนี้แล้ว ย่อมเป็นบุคคลผู้เสื่อมอย่างยิ่ง เสื่อมจากคุณความดีประการต่างๆ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

จากคำถามที่ว่า

หมายความว่าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเป็นเรื่องของพระแต่ละรูปที่จะเลือกมีหรือไม่มี รับหรือไม่รับ ใช้หรือไม่ใช้ตามกิเลสที่พระเหล่านั้นยังมี เช่นนั้นหรือ และตามความเข้าใจและปัญญาอันน้อยนิด ตามคำตอบที่ให้มา ท่านกำลังจะบอกเป็นภาษาง่ายๆ ว่า ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ให้ศึกษาและขัดเกลาตัวเองจะดีกว่าเช่นนั้นหรือ


พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลากิเลสยิ่ง ถ้าเป็นเพศบรรพชิตด้วยแล้ว ยิ่งต้องขัดเกลาและประพฤติตามพระธรรมวินัย การใช้ของที่นอกเหนือจากบริขารที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ ก็ไม่สมควร เป็นความมักมาก แล้วใครจะสามารถไปห้ามใจของแต่ละคน ที่จะทำสิ่งใดได้ครับ แม้แต่ใจของเราเองยังบังคับบัญชาให้เป็นกุศล หรือ อกุศลไม่ได้เลย เพราะธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา

ดังนั้น กิเลสของท่านก็เป็นของท่าน ที่เมื่อสะสมกิเลสมามาก ก็จะทำให้ประพฤติไม่สมควรในเพศบรรพชิต ซึ่งก็ห้ามไม่ไ่ด้เลย เพราะเกิดแล้วและเป็นไปตามใจของแต่ละคน ครับ ส่วนพระที่มีปัญญา ประพฤติตามพระธรรมวินัยก็มีอยู่ เมื่อมีปัญญา ท่านก็ไม่กระทำสิ่งเหล่านั้นที่ผิดต่อพระธรรมวินัย ก็ห้ามท่านไม่ได้อีกเช่นกัน ที่จะทำให้ท่านประพฤติไม่ดี ในเมื่อท่านมีปัญญา ครับ จะเห็นนะครับว่า ก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ ครับ

กระผมจึงได้กล่าวว่า สำคัญคือ ขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ เพราะโลกต้องดำเนินเป็นไปอย่างนี้ เมื่อเรามีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ตัวเราเองที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะรักษาพระศาสนาให้ยาวนานขึ้น อย่างน้อยเราก็เป็นหนึ่งคนที่จะรักษาพระศาสนา เพราะเราเข้าใจพระธรรม เพราะพระศาสนาก็อยู่ที่ใจของแต่ละคน ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อยากรู้จึงถาม
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอขอบพระคุณในคำตอบดีเยี่ยม

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 29 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
หลานตาจอน
วันที่ 1 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 15 เม.ย. 2555

เพราะพระภิกษุ และ ฆราวาส ขาดการศึกษาพระวินัย ทำให้พระอาบัติแล้วก็ยังไม่รู้

ส่วนฆราวาสที่รู้พระวินัย ก็สามารถช่วยให้พระภิกษุไม่ทำผิดพระวินัย ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ