จิตเห็น จิตคิด
เรียนถาม
เมื่อวิถีจิตทางตาเกิดขึ้นและดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ หลังจากนั้นจึงเป็นจิตคิดรู้อารมณ์เดียวกันกับทางปัญจทวาร มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ อยากทราบว่า ตอนที่เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานนั้น จิตเห็นต้องเห็นอีก แล้วจึงมีภวังค์ แล้วจิตคิดจึงคิดเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวิถีจิตทางตาเกิดขึ้น คือ จักขุทวาราวัชนจิตเกิดขึ้นดับไป จิตเห็น คือ จักขุวิญญาณเกิดขึ้น รู้ หรือ เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น เห็นเพียง สี ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีปรมัตถเป็นอารมณ์ คือ สี หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อ จิตเห็นดับไป จิตอื่นๆ ก็เกิดต่อ มีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ และ ชวนจิต ที่ เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต เมื่อยังเป็นปุถุชนครับ และชวนจิตดับไป ก็อาจเกิด ตทาลัมพนะจิตได้ และ ภวังคจิตก็เกิดคั่น เป็นภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ และ มโนทวาราวัชนจิตก็เกิดต่อ และก็เป็น ชวนจิตที่เป็นกุศล หรือ อกุศล ซึ่งทางมโนทวารวาระแรก มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ครับ คือ มีสี หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นอารมณ์ ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ยังไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน แต่ มโนทวารวิถีจิตอื่นๆ เกิดต่อจากมโนทวาร วิถีจิตวาระแรก ก็นึกถึงรูปร่าง สัณฐาน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยเมื่อนึกถึงเป็นรูปร่าง สัณฐานแล้ว คือ รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อทางมโนทวารวิถีจิตนั้นดับไป ปัญจทวารวิถี ก็อาจเกิดต่อ เห็น สีอื่นๆ หรือ อาจเกิดมโนทวารวิถีเกิดต่อก็ได้ ครับ เป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เรียนถาม
จากความเห็นที่ 1 หมายความว่า มโนทวารนั่นเองที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน คือดิฉันสงสัยว่ากว่าจิตที่คิดจะคิดเป็นบัญญัตินั้น ต้องผ่านการเห็นครั้งที่ ๑ การเห็นครั้งที่ ๒ และ ๓ หรือไม่ หรือ เป็นเพียงแต่จิตคิดเท่านั้น ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน วาระแรก เป็นสี และภวังค์เกิดดับ จิตคิดจึงคิดต่อเป็นรูปร่าง ภวังค์เกิดดับ แล้วจิตคิดก็คิดต่อไปอีกเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องราว
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
ถูกต้องครับ ไม่จำเป็นจะต้องเห็น ซ้ำกันหลายๆ วาระ แล้วถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพียงการเห็นทางปัญจทวาร วาระแรกเกิดขึ้น มโนทวารวิถีวาระอื่นๆ เกิดซ้ำๆ กัน ก็สามารถนึกถึงรูปร่างสัณฐานในสิ่งนั้นได้ รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ถูกต้องครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เรียนถาม
ทำไมจิตคิดจึงไม่เคยมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ กล่าวคือ ไม่เคยเห็นเป็นสี ไม่เคยได้ยินเป็นเสียง แต่เห็นแล้วเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ทันที เป็นเพราะจิตเกิด ดับอย่างรวดเร็ว และปัญญายังน้อยมาก เป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ
เรียนความเห็นทืั 4 ครับ
สำหรับ จิตทางมโนทวารวาระแรก ยังมี สี เป็นอารณ์ ที่รับต่อจากทางปัญจทวารวาระแรก แต่มโนทวารวิถี วาระต่อๆ ไป มี บัญญัติ เรื่องราวเป็นอารมณ์ เพราะคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสี ครับ เพราะ สี หรือ ปรมัตถ์ดับไปนานแล้ว ส่วนการมีสี หรือ รูป เป็นอารมณ์ก็ต้องอาศัยทวารทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งทางมโนทวาร ไม่ไ่ด้อาศัยทวารทั้ง ๕ เหล่านี้ มโนทวารวิถี โดยมาก จึงมีเรื่องราว บัญญัติ เป็นอารมณ์ คือ คิดนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดแล้วครับ
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
สติปัฏฐาน ที่เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา สามารถเกิดได้ทั้งทางปัญจทวารและ ทางมโนทวาร เพราะทาง ปัญจทวาร และ มโนทวาร ต่างก็มี ชวนจิต ที่เป็นกุศลจิตและอกุศลจิตเกิดขึ้นได้ ครับ ดังนั้น ทางปัญจทวาร ที่มีรูป เป็นอารมณ์ มีสี เป็นต้น สี นั้นก็สามารถเป็นอารมณ์ของ กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา นั่นคือเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ เนื่องจาก รูป (สี) ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นอารมณ์ทางปัญจทวาร ซึ่งทางปัญจทวาร สติปัฏฐานเกิดได้ ครับ
ขออนุโมทนา
เรียนถาม
จิตเห็น จิตคิด มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ได้ แต่มิได้หมายความว่า สติจะเห็นลักษณะของปรมัตถ์นั้นๆ และเมื่อสติ ไม่ได้ระลึกถึงลักษณะของปรมัตถ์นั้นๆ จิตคิดก็จะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ในที่สุด ถ้าชวนจิตไม่เป็นกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล ในเมื่อสติปัฏฐาน เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าจิตรู้อารมณ์เป็นบัญญัติตลอด สิ่งนี้หมายความว่า จิตเป็นอกุศลตลอดหรืออย่างไรคะ
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมครับ
ถ้าในมโนทวารวิถีหลังๆ ที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ (คือคิดนึกถึงรูปที่ดับไปตั้งแต่สิ้นปัญจทวารวิถี) แสดงว่า สติจะไม่สามารถระลึกรูปที่ดับไปแล้วใช่มั้ยครับ (เพราะรูปดับไปนานแล้ว และคิดนึกถึงรูปนั้นต่ออีกหลายวาระ)
แต่หากสติจะเกิดในมโนทวารวิถีหลังๆ ก็จะระลึกถึงสภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นส่วนของมโนทวารวิถีใช่หรือไม่ครับ
(อย่างเช่น สติปัฏฐานที่เกิดในชวนวิถีของมโนทวารวิถีที่ ๕ ระลึกลักษณะของโลภมูลจิตที่เกิดในชวนวิถีของมโนทวารวาระที่ ๔) เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ
กราบขอบพระคุณครับ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
ควรเข้าใจครับว่า จิต มีอารมณ์ได้ทุกอย่าง คือ ทั้งปรมัตถ์และบัญญัติ ดังนั้น จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีบัญญัติเป็นอารมณ์แล้ว จิตจะต้องเป็นอกุศล ครับ เป็นกุศลก็ได้ เช่น เห็นขอทานแล้วคิดจะให้ จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์แต่เป็นจิตที่เป็นกุศล ครับ
ส่วน จิตทางปัญจทวารก็ต้องมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ และมโนทวารวิถีวาระแรกก็มีรูปนั้นทางปัญจทวารที่รับต่อ ส่วนมโนทวารวิถีวาระอื่นก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ สติปัฏฐานจะเกิด หรือ ไม่เกิดก็ตาม ก็เป็นอย่างนั้นครับ ตามธรรมชาติของวิถีจิต ครับ
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
จากที่กล่าวมา เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
ขออนุโมทนาในความเห็นถูก ครับ
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมที่กรุณาให้ความกระจ่างครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะทุกขณะไม่พ้นไปจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เป็นไปอย่างนี้ตามความเป็นจริงของจิต แม้แต่ที่กล่าวว่า จิตเห็น กับ จิตคิด ก็ไม่พ้นไปจากจิต เลย วิถีจิตทางตา ทุกขณะ เกิดขึ้นรู้สี มีสีเป็นอารมณ์ทุกขณะ ไม่ใช่เฉพาะจิตเห็นเท่านั้นที่รู้สี จิตทุกขณะที่เกิดขึ้นโดยอาศัยตาเป็นทวาร ก็รู้สี ทั้งนั้น
สำหรับผู้ที่มีสะสมปัญญา สะสมความเข้าใจในเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐานมามาก สติปัฏฐานก็สามารถเกิดขึ้นระลึกรู้สีที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ ซึ่งเป็นในขณะที่เป็นชวนะที่เป็นมหากุศลอันประกอบด้วยปัญญา เมื่อวิถีจิตทางตาดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น แล้ววีถีจิตทางใจคือทางมโนทวารก็เกิดสืบต่อรับรู้สีต่อจากทางตา วิถีจิตทางมโนทวารวาระหลังๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นจิตที่รู้บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ซึ่งก็เป็นอย่างนี้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เห็นก็ไม่ใช่เราที่เห็น คิดก็ไม่ใช่เราที่คิด เป็นแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมไ่ม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้เลย ครับ
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...