พุทธวจนหรือสาวกภาษิต

 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่  28 ก.พ. 2555
หมายเลข  20652
อ่าน  3,140

พระไตรปิฎกฉบับไทย (สยามรัฐ) ตั้งแต่เล่มที่ ๓๔-๔๕ ที่เป็นข้อมูลในส่วนของพระอภิธรรมเป็นพุทธวจนะหรือว่าเป็นสาวกภาษิตครับ

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะตัดสินสิ่งใด ต้องศึกษาสิ่งนั้นให้ละเอียดเสียก่อน เราลองมาพิจารณา ในเรื่องของ อภิธรรมกัน ใครจะบอกอย่างไร ว่าคัมภีร์อภิธรรมจะมีหรือไม่มีก็ตาม อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ

พิสูจน์อย่างไรว่าคัมภีร์อภิธรรมมีไหม เป็นพระพุทธพจน์หรือไม่ พระพุทธเจ้าย่อมแสดง สัจจะ ความจริงในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และมีจริง สามารถรู้ได้ ซึ่งอะไรก็ตามที่กล่าวว่ามีจริง ต้องพิสูจน์ได้ ที่สำคัญจะต้องเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ให้พิสูจน์ เพราะอะไร เพราะเป็นสัจจธรรม เป็นความจริง สิ่งที่จริง จะบอกว่าไม่จริง ไม่มีก็ไม่ได้ ครับ

พระอภิธรรม แสดงในเรื่องของสภาพธัมมะ ที่ไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่เป็นธัมมะ ที่เป็น จิต เจตสิก และรูป ซึ่งก็คือ ความจริงที่ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน เช่น จิตเห็น ใครปฏิเสธ ว่าเห็นไม่มีในชีวิตประจำวัน มีจริงไหม ก็มีจริงครับ เสียง เป็นสิ่งที่มีจริงไหม ก็มีจริง พิสูจน์ได้ในขณะนี้ เป็นต้น ดังนั้น เราจะกล่าวถึงสิ่งใด ว่ามีจริงหรือถูกต้องไหม ต้องศึกษาสิ่งนั้นให้ละเอียดเสียก่อน โดยเป็นความเข้าใจของตนเอง ด้วยปัญญาของตนเอง จึงจะตัดสินได้ว่า พระอภิธรรม มีจริงไหม เป็นพระพุทธพจน์หรือไม่ ดังนั้น พระอภิธรรมจึงเป็นการแสดงสัจจะ ตามความเป็นจริง ที่ไม่มีใครแย้งได้ เพราะว่าความจริง ก็คือ เป็นธรรมที่มีในชีวิตประจำวันมื่อเป็นความจริง เป็นอริยสัจจะ จึงเป็นพระพุทธพจน์ด้วย ไม่ใช่ใครอื่นมาบัญญัติทีหลังเลยครับ

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมกับพระนางมหาปชาบดีโคตมีว่าจะตัดสินได้อย่างไรว่าคำนี้เป็นคำสอนของเรา คือ ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อละคลายกิเลส มีความไม่รู้ เพื่อความมักน้อย สันโดษ เจริญปัญญา เป็นธรรมวินัย คือ คำสอนของเรา

พระอภิธรรม ก็เป็นไปเพื่อละความไมรู้ ความเห็นผิดที่ยึดถือว่ามีเรา เพราะมีแต่ธรรม ดังนั้น พระธรรมที่เป็นไปเพื่อละคลายกิเลส มี พระอภิธรรม ก็ชื่อว่า เป็นพระพุทธพจน์เช่นกันครับ ดังนั้น ผู้ที่จะเชื่อ หรือ คัดค้าน ก็ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องศึกษาให้เข้าใจตั้งแต่คำว่า ธรรม ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ ทุกขณะเป็นธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรมและรูปธรรม สิ่งที่มีจริงเหล่านี้ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม และ เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ด้วยความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกกาลสมัย ธรรมก็เป็นธรรม และเป็นอภิธรรม ด้วย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่สัตว์โลกจะเข้าใจอภิธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ได้นั้น ก็ต้องเป็นกาลสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงแสดงธรรมที่มีจริง ที่ละเอียดยิ่ง ให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูก จากที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ มีความรู้ที่เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ ตามลำดับ พระธรรมคำสอนของพระองค์ เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อละตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด กล่าวคือ ละความไม่รู้ ความเห็นผิด ตลอดจนกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้น จึงต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเองจริงๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงอะไรให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง ทั้งหมด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 29 ก.พ. 2555

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prachern.s
วันที่ 29 ก.พ. 2555

ขออนุญาตเสริมความเห็นที่ 1 และ 2 ครับ

พระไตรปิฎกฉบับของเมืองไทย ทั้งภาษาบาลีและที่แปลเป็นภาษาไทย มี ๔๕ เล่ม บางฉบับแบ่งเป็น ๘๐ เล่มบ้าง บางฉบับรวมอรรถกถาด้วยเป็น ๙๑ เล่มบ้าง โดยรวม ก็คือ เป็นคัมภีร์ที่จารึกพระธรรมคำสอนตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งบางส่วนเป็นพระดำรัสของพระพุทธองค์ บางส่วนเป็นคำกล่าวของพระอริยสาวกทั้งหลาย บางส่วนเป็นคำกล่าวของเทวดา บางส่วนเป็นคำกล่าวของพระโพธิสัตว์ สมัยที่เป็นฤษี ดาบส เป็นต้น ซึ่ง ทั้งหมด เป็นคำสุภาษิต เป็นคำสอนที่ประกอบด้วยประโยชน์ และคล้อยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ขัดแย้งในส่วนใดๆ เลย ผู้ที่ศึกษาย่อมได้รับประโยชน์ตามสมควรแก่ฐานะของตนๆ

ดังนั้นผู้ศึกษาไม่ควรรังเกียจว่า หรือตำหนิว่า เป็นสาวกภาษิต หรือเป็น อิสิภาษิตฯ จริงอยู่ คัมภีร์พระอภิธรรมบางส่วน คือ กถาวัตถุ มีเกิดขึ้นสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ ซึ่งท่านพระโมคคัลลีบุตรเถระผู้อรหันต์ ท่านได้ประมวลพระธรรมตามนัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้นั่นเอง ไม่ได้ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนแต่อย่างใดครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 29 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธวจนะหรือสาวกภาษิตก็เป็นพระอภิธรรมที่ล้วนเป็นไปเพื่อการดับความเห็นผิดและดับกิเลสทั้งหมดเป็นสมุจเฉท

ดังนั้นผู้ศึกษาไม่ควรรังเกียจว่า หรือตำหนิว่า เป็นสาวกภาษิต หรือเป็น อิสิภาษิตฯ จริงอยู่ คัมภีร์พระอภิธรรมบางส่วน คือ กถาวัตถุ มีเกิดขึ้นสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ ซึ่งท่านพระโมคคัลลีบุตรเถระผู้อรหันต์ ท่านได้ประมวลพระธรรมตามนัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้นั่นเอง ไม่ได้ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนแต่อย่างใด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 1 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 1 มี.ค. 2555
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 27 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
thilda
วันที่ 29 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ