ไม่รู้ตัวเลยว่า กินยาพิษเกือบทุกขณะ

 
kanchana.c
วันที่  3 มี.ค. 2555
หมายเลข  20683
อ่าน  1,277

เคยคิดว่า ทำไมคนถึงติดสุรา ติดบุหรี่ ติดยาเสพติด ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็บอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นพิษภัยต่อสุขภาพและอนาคต พร้อมทั้งมีตัวอย่างให้เห็นกับตาจริงๆ มากมาย เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง (เสาร์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๕) เมื่อได้ร่วมฟังการสนทนาพระสูตรที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ท่านอาจารย์ได้ถามว่า เมื่อเช้ากินอะไร เรานึกถึงอาหารที่กินเมื่อเช้านี้ แต่ความจริง นั้น ท่านอาจารย์หมายความถึงอาหาร ๔ ซึ่งมีคำอธิบายว่า ธรรมอันได้ชื่อว่าอาหารนั้น เพราะเป็นปัจจัยนำผลมา ซึ่งเป็นรูปอาหาร ๑ คือ กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว เช่น ข้าว บะหมี่ กาแฟ เป็นต้น และยังมีนามอาหารอีก ๓ คือ ผัสสาหาร ๑ ได้แก่ ผัสสเจตสิก วิญญาณาหาร ๑ คือสภาพรู้อารมณ์ที่ปรากฏ และมโนสัญเจตนาหาร ๑ คือ เจตนา เจตสิก ความจงใจ เป็นปัจจัยในการทำ พูด คิด ซึ่งเป็นกรรม ซึ่งสรุปสำหรับนามอาหาร ก็คือจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไปทุกขณะนั่นเอง

ท่านอาจารย์ถามต่อว่า “ใครกิน?” ตอนนี้งง คงไม่ใช่ตอบว่า ก็เรากินเอง เพราะทราบ จากการฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คงไม่มีใครกิน เมื่อฟังต่อไปจึงทราบว่า จิตกิน หรือเสพอารมณ์ที่ปรากฏโดยชวนจิต ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นโลภะ หรือ โทสะ นานๆ จึงจะเป็นกุศลจิตสักครั้งหนึ่ง โดยไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่า ที่ เสพเข้าไปนั้นเป็นยาพิษ เพราะไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่า อกุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้นสะสม พอกพูนอยู่ในจิต ไม่หายไปไหน มีแต่คอยพรรคพวกอกุศลเจตสิกด้วยกันยกพลทำ ทุจริตกรรม โดยมีความไม่รู้ ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง หรืออวิชชาเป็นหัวหน้าใหญ่

เมื่อเปรียบเทียบกับคนติดยาเสพติด ก็คงเหมือนอย่างนี้ คือไม่รู้ว่าสิ่งที่เสพนั้นเป็น ยาพิษ เพราะขณะที่ติดนั้นจะไม่รู้ตัวเลย เนื่องจากโลภะต้องเกิดพร้อมกับโมหะเสมอ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นำพระธรรมมาชี้แนะโดยนัยต่างๆ เสมอ แม้แต่ยังไม่เข้าถึง แต่ก็ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้นค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pat_jesty
วันที่ 3 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Yongyod
วันที่ 4 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาคุณกาญจนาครับ

ได้อ่านแล้วทำให้รู้สึกได้เลยว่า

จะประมาทไม่ได้เลย อกุศลรอที่จะท่วมทับเราได้ทุกเมื่อ

แม้ บางขณะก็ไม่รู้ว่า อกุศลเกิดแล้ว

แล้วก็จะสะสมต่อไป ที่สำคัญติดโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งกว่ายาเสพติด

ถ้าสติไม่ระลึกก็คงไม่ทราบแน่นอนครับ

ถ้าไม่รู้ก็คงละได้ยาก

รู้เพื่อที่จะละ

ทำให้เห็นคุณของอาจารย์ สุจินต์

ที่แทบทุกครั้งที่ท่านบรรยายจะเตือนสติเสมอ ว่า

เดี๋ยวนี้ ขณะนี้กับสิ่งที่ปรากฏ รู้แล้วรึยังว่าเป็น ธรรมะ

ว่า อกุศลเกิดแล้วรึยัง

ใครจะไปนึกได้ตลอดเวลาละครับ

แค่กินข้าวก็จะเป็นอกุศลได้ถึงเพียงนี้

ถ้าไม่ละเอียดพอจะรู้ในสิ่งที่ปรากฏ

ทุกขณะในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

ผมว่าทุกครั้งที่อาจาย์บรรยาย

อาจารย์ก็สอนปฏิบัติให้แก่เราโดยที่เราไม่รู้ตัว

ก็โดยเป็นปกติ

แค่ระลึกรู้ในปัจจุบันธรรม

ในทุกขณะจิตเรานี่เองละครับ

ดูเหมือนอาจารย์ไม่ได้สอนปฏิบัติ

แต่จริงๆ อาจารย์สอนเข้มเลยนะผมว่า

ให้เห็นธรรมทั้งๆ ที่เรายังลืมตาตื่นอยู่นี่เอง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 4 มี.ค. 2555

เพียงเห็นหัวข้อ ก็รู้สึกละอายล่วงหน้าไปก่อนแล้วครับ

เมื่อได้อ่านและเข้าใจคำอธิบายโดยนัยต่างๆ ก็ยิ่งรู้สึกละอายมากยิ่งขึ้น

แต่กระนั้น ก็ไม่เคยลืมว่า ทุกสิ่งเป็นธรรม และ เกิดแต่เหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาเนิ่นนาน

ไม่สามารถละคลายได้ด้วยความต้องการ ด้วยความเป็นตัวตน

ปัญญาเท่านั้น ที่จะค่อยๆ ละคลายอกุศลทั้งปวงนี้ได้

ด้วยการฟังพระธรรมที่ทรงแสดงให้เข้าใจ บ่อยๆ เนืองๆ

ถึงเวลาก็รู้เอง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 5 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Boonyavee
วันที่ 6 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

และขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงที่ได้นำเรื่องนี้มาสนทนาค่ะ

เมื่อเราเห็นคนที่เสพยาเสพติด เรามักจะตัดสินคนอื่นด้วยบรรทัดฐานส่วนตัว ว่าคนนี้เป็นคนดีหรือคนไม่ดีเสมอโดยไม่เคยคิดพิจารณาตัวเองเลยว่า แท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนที่เสพยาเสพติดเลย เสพทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เคยหยุดหย่อน ครอบเกราะหนาด้วยความไม่รู้หล่อหลอมด้วยกิเลสที่ยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แล้วก็ไปตั้งชื่อให้สภาพธรรมที่ปรากฏขึ้น เพื่อมากำหนดเรา เขาให้มีความแตกต่างเข้าไปอีกด้วยบรรทัดฐานของคำว่า "ดีและไม่ดี" ทั้งที่ตอนนี้ต่างก็ทานยาพิษอยู่เหมือนกัน ยิ่งได้อ่านบทความนี้ ก็ยิ่งเห็นถึงความโง่เขลาของตนเอง ว่าช่างมากมายเสียยิ่งกระไรค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ที่ท่านได้โปรดเมตตาบรรยายให้เกิดความกระจ่างแก่ดิฉันได้บ้างตามกำลังของสติปัญญาที่มีอยู่ อย่างน้อยความเข้าใจในขั้นการฟังธรรมไปเรื่อยๆ นั้นจะเป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ถึงสภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นตามเป็นจริง เพราะดิฉันเชื่อว่าคงไม่มียาถอนพิษใดๆ ที่จะถอนพิษได้ถึงรากถึงโคน นอกจากปัญญาเท่านั้นค่ะ

ขอกราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ