สุดท้ายคือเราทั้งหลายต้องรู้จักคำว่า ปลง และไตร่ตรองโดยใช้ปัญญา
... เช่นนั้นหรือ
จากหลายๆ คำถามที่เคยถามไป และได้รับความกรุณาในคำตอบอันดีเยี่ยมจากหลายๆ ท่าน อยากขอกราบขอบพระคุณจากใจจริง
แต่เท่าที่อ่านๆ มาเกือบทั้งหมดในคำตอบเหล่านั้น แปลเอาจากปัญญาอันน้อยนิดให้เป็นคำง่ายๆ คือ เราต้องรู้จัก "ปลง" เช่นนั้นหรือ เจออะไรไม่ดี ไม่งามก็ปลงซะ คิดว่าเป็นกรรมของเขาหรือของสิ่งนั้นๆ ไปซะ
ถ้าสงสัยในอะไรหลายๆ อย่าง เช่นเรื่องอภินิหารหรือตำนาน (เช่นพระเวสสันดรชาดก ไสยศาสตร์ บาป บุญมีจริงหรือ ทำดีได้ดีจริงหรือ ทำไมทำชั่วได้ดีมีมากมาย อะไรหลายๆ อย่างนี้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็จงไตร่ตรองโดยศึกษาหาความรู้เอาเอง ใช้ปัญญาของตนเองตัดสินซะ เช่นนั้นหรือ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำตอบที่ตอบไปนั้น ก็เพื่อให้รู้ครับว่า ต้องเป็นปัญญาของตนเองถึงจะรู้ได้ เปรียบเหมือนว่า หากคนตาดี บอกคนตาบอดว่า ช้าง มีลักษณะอย่างนี้ คือ เรียวๆ ยาวๆ ชอบเลื้อยๆ คนตาบอด อาจจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ได้ เพราะไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง เพราะ ตนเองตาบอด แล้วการรู้ว่าช้างเป็นอย่างไร คนนั้นเองก็ต้องหายตาบอด เป็นตาดี เชื่อด้วยตนเอง เพราะตาไม่บอดแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องราวต่างๆ ในพระพุทธศาสนา แม้แต่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ใช่เฉพาะเพียงคำบอกของใคร แล้วจะตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่ก็ต้องไตร่ตรองเป็นปัญญาของตนเอง เมื่อปัญญาของตนเองเกิดขึ้น ก็จะย่อมรู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ครับ เพราะถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้ว สภาพธรรมอะไรที่รู้ตามความเป็นจริง นอกเสียจากอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน พร้อมๆ กับความไม่รู้ที่เกิดขึ้น ปุถุชน จึงไม่รู้ตามความเป็นจริงเลย นอกจากได้มีโอกาสศึกษาพระธรม ฟังพระธรรม จนปัญญา ความเห็นถูกตามความเป็นจริงที่เจริญขึ้นนั่นเองครับ คำตอบมีได้ด้วยปัญญาของตนเอง ครับ เพราะไม่มีสภาพธรรมที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ นอกจาก ปัญญา และปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังพระธรรม ศึกษาพระ ธรรม
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นี่คือ เหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ที่เป็นชาวพุทธจะต้องได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความละเอียดรอบคอบ ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้มีความมั่นคงในความเป็นจริงมากขึ้น สิ่งใดผิด คือ ผิด สิ่งใดถูก คือ ถูก เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ใครจะว่าอย่างไร (ในสิ่งที่ผิด) ก็จะไม่คล้อยตามในความเห็นที่ผิดนั้น พร้อมทั้งยังสามารถจะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ด้วย นี่คือ ประโยชน์ของการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะขาดปัญญาไม่ได้เลย บุคคลผู้ที่เป็นสาวกก็ต้องเป็นผู้ดำเนินตามหนทางดังกล่าวนี้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจเป็นปัญญาของตนเอง ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่คุณ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ประเสริฐสูงตลอดชีวิต
ในปัจจุบัน ผู้ที่มีความเห็นถูก และผู้ที่เข้าใจ ในพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีน้อยลงเต็มที สิ่งนี้อาจเกิดจากการที่ไม่ได้ศึกษา และ การสะสมมาของแต่ละบุคคล และเพราะฟังเค้าเล่าสืบต่อกันมา มีความ เชื่อเพราะเดาเอาเอง ถ้าเปรียบเทียบข้อสงสัยพระธรรม ธรรมมะ กับการศึกษาทางโลก หากเราได้ฟัง บุคคลหนึ่งบุคคลใด เล่าว่าสิ่งนั้นไม่ดี หรือสิ่งนั้นดี เราจะเชื่อได้อย่างไรหากไม่ได้ประสบกับตัวเองหรือเข้าใจเอง การจะละข้อสงสัยนั้นได้ ก็ต้องเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจัง โดยการ อ่าน หรือ ฟัง เพื่อให้ปัญญาเกิดและเพื่อขจัดความไม่รู้. หากไม่เริ่มต้นศึกษา เราก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า สิ่งที่คิดที่เข้าใจอยู่นั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษ
ดังนั้น การศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจในตัวธรรมมะ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มานั้น ไม่ใช่ การนั่งคิดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องเดาว่าใครคิดอย่างไร แต่เริ่มจากความเข้าใจด้วยตัวเราเองก่อน และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การเปิด พระไตรปิฎก ที่มีอยู่ทั่วไปอ่าน หรือ เริ่ม ฟังพระธรรม จากไฟล์เสียงของท่านผู้บรรยายธรรมมะ ซึ่ง ก็มีอยู่ในเว็บนี้ เช่นเดียวกันครับ.
Related Link (s) :