ทราบได้อย่างไรว่านั่นคือพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ
ทราบได้อย่างไรว่านั่นคือพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ
และตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อละสังขาร เมื่อหมดกรรมเวร หมดห่วงต่างๆ แล้ว ร่างกาย สังขาร วิญญาณก็ควรสูญไป ไม่ควรเหลืออะไรให้เวทนาอีก เหตุใดจึงยังต้องเหลืออัศจรรย์ให้คนกราบไหว้ และเหตุใดกระดูกจึงเปลี่ยนสีได้เหมือนแก้ว มีการเพิ่มจำนวนได้ มีการหายไปได้ มีการกลับมาได้ จะอธิบายอย่างไร เหตุใดพระอาจารย์ชื่อดังที่ละสังขารแล้ว ถึงยังมีร่างกายไม่เน่าเปื่อย เป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเกิดจากสิ่งใด
ด้วยความเคารพ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือไม่จริง แต่ประโยชน์คือ สำคัญอยู่ที่จิตของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุครับ เพราะ การเห็นเป็นเพียงวิบากที่เป็นผลของกรรม เห็นสิ่งเดียวกัน แต่ใจของแต่ละคนก็ต่างกันไป ตามการสะสม แม้จะเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง แต่จิตไม่เลื่อมใส ไม่เกิด กุศล แต่เป็นอกุศลแทนก็ได้ ขณะที่เห็นพระบรมสารีริกธาตุแล้วเกิดความสงสัยว่า จริง หรือไม่จริง ขณะที่สงสัยก็เป็นอกุศลแล้วในขณะนั้น แต่ขณะใด เห็นพระบรมสารีริกธาตุ จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม เกิดจิตเลื่อมใส ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า อันเกิดจาก ปัญญาที่ได้จากการศึกษาพระธรรมมา ก็เกิดกุศลจิตในขณะนั้น แม้จะไม่ใช่ของจริง หรือ จริง แต่เกิดกุศลแล้วในขณะนั้น ครับ
ดังนั้น สำคัญที่จิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ครับ และ แม้แต่พระพุทธรูป ที่เป็นหิน ดินมาปั้น ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ แน่นอน แต่ก็มีกราบไหว้ ทำไมกราบไหว้ ก็เพราะมีการเคารพ ระลึกถึงพระคุณว่าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นเพียง หิน ดินเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ ครับ จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจิตผู้นั้นเองเป็นสำคัญ ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศลในสิ่งที่ได้เห็นครับ ความเข้าใจพระธรรม จึงทำให้เกิดกุศลจิตได้ แม้จะเห็นสิ่งใดก็ตาม ครับ
ส่วนการละสังขารของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือ ศพไม่เน่าเปื่อย ทั้งๆ ที่จริง ควร เน่าเปื่อย แต่ในความเป็นจริง ศพไม่เน่าเปื่อย ก็มีครับ และมีเหตุให้ไม่เน่าเปื่อย ด้วย ศพที่ไม่เน่า ด้วยหลายเหตุปัจจัยครับ เป็นไปได้ถ้าศพที่สิ้นชีวิตนั้น มีปริมาณไขมันใน ร่างกายต่ำ เช่น มีความระวังในการรับประทานอาหาร รับประทานแต่พอดี ทำให้ไม่มีไขมัน หรือมีน้อย ทำให้ของเสียในร่างกายมีน้อย ประกอบกับสภาพความชื้น สิ่งแวดล้อม ทำให้สภาพเน่าเปื่อยได้ยากกว่าปกติ หรือไม่เน่าเปื่อยเลย เมื่อสิ้นชีวิตครับ
ซึ่งสรุปได้ว่า ที่ศพไม่เน่าเปื่อย เพราะเกิดขึ้นได้ด้วยองค์ประกอบ ๒ อย่างเกิดพร้อมกัน คือ อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมสูงกว่าปกติ และมีความชื้นน้อย ส่วนอวัยวะภายในก็ยังเน่าอยู่ เพียงแต่เมื่อชั้นผิวแข็ง ก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียและน้ำย่อยไม่สามารถทำลายออกมา ถึงชั้นผิวหนังด้านนอกได้ และยังทำให้ศพไม่เกิดการบวมจากการเน่า หากในร่างกาย ไม่มีเชื้อโรคมากนัก การเน่าของอวัยวะภายในก็จะเกิดขึ้นน้อยครับ
หรือ ด้วยสารเคมีในปัจจุบัน ก็ทำให้ศพไม่เน่าเปื่อย ดังนั้น ศพที่ไม่เนาเปื่อย ก็เพราะ อุตุ เป็นปัจจัย เพราะศพก็คือ รูปธรรมที่ประชุมรวมกัน ปราศจากจิตที่ครองร่างกายนั้น แล้วครับ ก็เป็นตามเหตุปัจจัยของรูปธรรมนั้น จะเน่า หรือ ไม่เน่าก็ตามเหตุปัจจัยของรูป ตามที่กล่าวมา ทำให้เน่าเปื่อย หรือ ไม่เน่าเปื่อย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยครับ เพราะ เข้าใจว่าเป็นไปตามเหตุของอุตุ ความเย็น ความร้อน เป็นปัจจัยให้ ศพเน่าเปื่อย หรือ ไม่ เน่าเปื่อยครับ
แต่ที่สำคัญ ไม่ได้หมายความว่า คุณธรรมจะวัดกันที่ ความไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิตนะครับ ผู้ที่คุณธรรมมาก จึงทำให้ ร่ายกายไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิต อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ คุณธรรม มีปัญญา เป็นต้น เป็นคุณธรรมภายใน ที่รู้ได้ด้วยปัญญา ด้วยการสนทนา เป็นต้น ครับ
ปัญญา คุณธรรมต่างหาก เป็นตัวตัดสิน ว่าผู้ใดมีคุณธรรม หรือ ไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงลักษณะภายนอก หรือ การไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิต ที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ที่เห็นเพียง สี สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ได้เห็นถึงคุณธรรมภายในที่เห็นได้ด้วยปัญญา ส่วนกระดูก หรือ พระธาตุที่เพิ่มจำนวน หรือหายไป เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้นครับที่พระองค์อธิษฐานไว้ว่า ที่ใดมีการเคารพสักการะก็จะมาที่นั้น ที่ใดไม่มีการเคารพสักการะแล้ว พระบรมสารีริกธาตุก็จะหายไป ไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ คือ ที่ที่มีการบูชาเคารพสักการะ ครับ เฉพาะพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าครับ ที่อธิษฐานไว้ ไม่ได้ทั่วไปกับสาวกอื่นๆ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อละจากโลกนี้ไป ร่างกายมีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ ในที่สุดก็จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพียงรูปธรรมที่เกิดเพราะอุตุเท่านั้น สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ในขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะรู้ความจริงว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า การที่จะจากโลกนี้ไปนั้น จะจากไปด้วยปัญญาที่อบรมจนกระทั่งเจริญขึ้น หรือว่าจะจากไปโดยที่ว่าไม่สนใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย?
ขณะนี้ทุกคนมีร่างกายซึ่งเป็นที่รักที่พอใจ อีกไม่นานร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วชาติหน้าจะมีรูปร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า การกระทำทางกาย ทางวาจา เป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลที่ครอบงำย่ำยีจิตใจหรือไม่ ที่จะทำให้ร่างกายในชาติต่อไป พิกลพิการ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่น่าดู หรือจนกระทั่งทำให้ถึงความเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็เป็นเรื่องของขณะจิตที่เร็วมาก เร็วยิ่งกว่ากะพริบตา ก็สามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนี้ทั้งหมด จากการเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาทมัวเมา แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมได้ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามระดับขั้นของความเข้าใจ ของตนเอง
ดังนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง และจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาเห็นประโยชน์ พร้อมทั้งมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อละคลายขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เท่านั้น ดังนั้น แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ควรจะได้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเข้าใจได้ ก็ด้วยการฟัง การศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงๆ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...