นมัสการสังเวชนียสถานแล้วได้ไปสวรรค์
ในข้อความจากพระไตรปิฎก
มีกล่าวถึงผู้ที่ไปนมัสการสังเวชนียสถานแล้วจะได้ไปสวรรค์
อยากทราบว่า แค่ไปนมัสการก็ไปสวรรค์แล้ว
หรือ ไม่ใช่ทุกคน แล้วแต่สภาพจิตที่มีความเคารพหรือศรัทธาเจตสิกเกิด
หรือเป็นพุทธานุสตติ
ที่ถามเพราะเห็นคนนิยมไปกันมากหลังจากอ่านข้อความในพระไตรปิฎก
และแต่ละคนก็คิดว่าจะได้ไปสวรรค์แน่ๆ ดิฉันรู้สึกว่าจุดประสงค์การไปไม่ถูกต้อง
รบกวนขอคำอธิบายอย่างละเอียดค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ (สังเวชนียสถาน) มีจิตเลื่อมใสแล้ว
จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกจักเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ฯ"
---------------------------------------------------------------------------------
สังเวชนียสถาน เป็นสถานที่อันบุคคลผู้มีศรัทธาพึงไป เป็นสถานที่มีจริงๆ ซึ่งมีในโลกมนุษย์เท่านั้น ไม่มีในสวรรค์และไม่มีในพรหมโลก สถานที่ดังกล่าวนั้น คือสถานที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ซึ่งจะเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดในภพใหม่อีกต่อไป สถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สถานที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก และสถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน สภาพธรรม เป็นสิ่งที่ตรง เพราะเป็นสัจจะ กุศลกรรม ย่อมให้ผลที่ดี ไม่เปลี่ยนแปลง มีการเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นต้น อกุศลกรรม ย่อมให้ผลที่ไม่ดี ไม่เปลี่ยนแปลง มีการเกิดในอบายภูมิ เป็นต้น
จากข้อความ ที่พระองค์ตรัสไว้ในการเที่ยวจาริกไปในสังเวชนียสถาน มีจิตเลื่อมใส นั่นก็คือ มีศรัทธา ที่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เกิดกับจิตที่เป็นกุศล ดังนั้น ขณะนั้นเป็นกุศลที่ไปไหว้ ไปน้อมระลึกถึงพระคุณที่สังเวชนียสถาน เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกุศลจิตและมีการกระทำทางกาย วาจา ที่มีจิตเลื่อมใสในสังเวชนียสถาน ก็เป็นกุศลกรรม เมื่อกุศลกรรม คือ การมีจิตเลื่อมใสในสังเวชนียสถานให้ผล ก็ทำให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ นี่คือ ความเป็นธรรมดา แน่นอนที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า ธรรมใดเป็นกุศล เมื่อกุศลให้ผลก็ต้องไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ธรรมเป็นเรื่องละเอียด เพราะการให้ผลของกรรม มีกาลเวลา และมีแตกต่างกันไป กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติที่ 2 และชาติถัดๆ ไป และกรรมบางอย่าง ไม่มีโอกาสให้ผลก็มีครับ ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่า เมื่อไปกราบไหว้สังเวชนียสถานแล้วในชาตินี้ ชาติต่อไปก็จะไปเกิดในสวรรค์ทุกๆ คน ธรรมเป็นอนัตตา แล้วแต่ครับว่า กรรมใดจะให้ผล อาจเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังให้ผลก่อนก็ได้ครับ เช่น เมื่อไหว้สังเวชนียสถานแล้ว เวลาต่อมา มีการทำอนันตริยกรรม มีการฆ่า บิดา มารดา กรรมที่เป็นอนันตริยกรรมย่อมให้ผลก่อน คือ ในชาติต่อไปทันที ไปเกิดในนรก ทันทีเพราะกรรมนั้น แม้จะทำกรรมดีมากมายอย่างไรก็ตามครับ
นี่แสดงถึงการให้ผลของกรรม มีความละเอียด ซับซ้อนเพราะสภาพธรรมเกิดจากเหตุปัจจัยหลายๆ ประการครับ จึงไม่จำเป็นครับว่าเมื่อไปไหว้สังเวชนียสถานแล้ว ชาติต่อไปจะไปเกิดบนสวรรค์ แต่พระพุทธองค์แสดงเหตุตามความเป็นจริงไว้ว่า ผู้ที่มีจิตเลื่อมใส ไปสังเวชนียสถาน ทำกุศลกรรมไว้ ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เมื่อกรรมนั้นให้ผล เมื่อแตกกายตายไป ซึ่งอาจจะเป็นชาตินี้ หรือไม่ใช่ หรือ ชาติต่อไป แต่ถ้ากรรมดีให้ผลย่อมให้ผลดีแน่นอน พระพุทธองค์จึงทรงแสดงตามเหตุผลที่ตรงตามความเป็นจริงครับ ดังเช่นสหายธรรมท่านหนึ่ง ถามถึงเรื่องนี้ที่ว่า
ดิฉันได้มีโอกาสเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ในเรื่องนี้ว่า "จริงหรือไม่ที่มีผู้กล่าวว่าหากผู้ใด ได้มากราบนมัสการสังเวชนียสถานครบทั้ง ๔ ที่จะมีสุคติเป็นที่ไป"
ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวตอบว่า "กุศล นำไปสู่สุคติค่ะ"
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สังเวชนียสถาน เป็นสถานที่อันบุคคลผู้มีศรัทธาพึงไป เป็นสถานที่มีจริงๆ ซึ่งมีในโลกมนุษย์เท่านั้น ไม่มีในสวรรค์และไม่มีในพรหมโลก สถานที่ดังกล่าวนั้น คือสถานที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ซึ่งจะเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดในภพใหม่อีกต่อไป สถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สถานที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก และสถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน นอกจากนั้นพุทธสถานอื่นๆ ก็ควรได้ไปกราบนมัสการเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้น เพื่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรม ขัดเกลากิเลสของตนเอง เรื่องกรรม และ การให้ผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ว่าจะให้กรรมนั้น กรรมนี้ ให้ผล เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และ ในแต่ละภพในแต่ละชาติ แต่ละคนก็ได้กระทำกรรม มามาก มีทั้งที่เป็นกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กรรมใด จะให้ผลเมื่อใด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นสิ่งที่สำคัญทีสุด ไม่ประมาทในการเจริญกุศล และ สะสมปัญญาในชีวิตประจำวัน เมื่อสะสมกุศล บ่อยๆ เนืองๆ โอกาสที่กุศล ให้ผล ก็ย่อมจะมีมากกว่าความเป็นผู้ประมาทมัวเมา ประกอบแต่อกุศลกรรม "กุศล นำไปสู่สุคติค่ะ" ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ดีแล้ว เพราะกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นเหตุที่ดี เมื่อเหตุที่ดี มี ผลก็ย่อมเกิดขึ้นตามสมควรแก่เหตุ ถ้ากรรมดังกล่าวให้ผลนำเกิด ก็ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดี คือ เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา เพราะสุคติภูมิ ปรากฏ เพราะกุศลธรรม เท่านั้น ไม่ใช่ อกุศลธรรม ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ ว่า สังเวชนียสถาน 4 แห่ง อันกุลบุตรผู้ฉลาดพีงไปมนัสการ ขณะที่ทำการเคารพ กราบไหว้ น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ถ้ากุศลจิตเกิดก่อนตายในขณะนั้น ก็ไปสู่สุคติภูมิ แต่ถ้าหลังจากนั้น คติก็ไม่แน่นอน ค่ะ
ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
จะกระทำดีก็ตาม กระทำชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ไม่เร็ว ก็ช้า
ไม่ใช่ชาตินี้ ก็เป็นชาติต่อๆ ไป
สมัยนี้มีคำกล่าวที่ว่า "กรรมติดจรวด"
ความจริงแล้วผู้ที่จะทราบเรื่องกรรมโดยละเอียดลึกซึ้งที่สุดไปจนถึงปัจจัยต่างๆ นั้น
คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นครับ
พระองค์เท่านั้นที่จะทราบได้อย่างถ่องแท้ประจักษ์แจ้งแทงตลอดถึงอดีตกรรม
ในอดีตชาติอันหาที่สุดมิได้
ว่า ผลกรรมที่บุคคลนั้นๆ กำลังได้รับอยู่
เป็นผลมาจากกรรมใด ปัจจัยใด ที่บุคคลนั้นได้กระทำไว้ในชาตินี้ หรือชาติไหน
(ในอดีตแสนโกฏิ์กัปป์)
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขออนุญาตสนทนาด้วยคนครับ
ผมขอทวนข้อความสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ซึ่งท่านอาจารย์เผดิมได้ยกขึ้นมาให้ดูอีกครั้งดังนี้ครับ " ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ (สังเวชนียสถาน) มีจิตเลื่อมใสแล้วจักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ "
ข้อความในวงเล็บเป็นคำตรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นสัจจธรรมสมบูรณ์โดยอรรถและพยัญชนะแล้ว ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 ด้วยมีจิตเลื่อมใสศรัทธานี้เป็นอุปปัชชเวทนียกรรมครับ
ขออนุโมทนาครับ