คนมักเชื่อในสิ่งที่เห็น

 
พิมพิชญา
วันที่  13 มี.ค. 2555
หมายเลข  20764
อ่าน  1,610

คนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจพระธรรม มักเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตาเท่านั้น

เรื่องที่ละเอียดกว่านั้น ที่ไม่สามารถเห็นได้ ก็มองว่างมงาย และไม่เชื่อ เช่น เรื่องนรกสวรรค์, เรื่องสภาพธรรมะที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา, เรื่องกรรม

สิ่งนี้เป็นลักษณะของอวิชชาหรือว่าอะไรคะ เหตุอะไรทำให้คนเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเห็นมี ๒ อย่าง คือ การเห็นด้วยจักษุ คือ ตาเนื้อ ที่สัตว์โลกโดยมากเห็นกัน กับการเห็น ด้วย ปัญญาจักษุ คือ ตาปัญญา อันเป็นการเห็นตามความเป็นจริง

ดังนั้น ความเชื่อย่อมเกิดได้ เพราะอาศัย สัญญา และ ธาตุที่ต่างๆ กัน ผู้ที่เชื่อเพราะเห็นด้วยตา ก็มีเป็นธรรมดา เพราะเชื่อในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ไม่เห็นก็ไม่เชื่อ เพราะมีสัญญาความจำหมาย เช่นนั้น ครับ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เห็น ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นความจริง และ สิ่งที่ไม่เห็น ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นจะไม่จริง ไม่มีจริง ครับ

ซึ่งการเห็นตามความเป็นจริง คือ เห็นด้วยปัญญา แม้ว่าจะไม่มีตา หรือ ตาบอด แต่ก็สามารถรู้ความจริงได้ หากมีปัญญา ครับ เพราะเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ตรงตามความเป็นจริง อย่างเช่น ขณะนี้ทุกคนเห็นใช่ไหม ครับ ถามว่าเห็นอะไร ก็ต้องตอบว่าเห็นคน เห็นสัตว์ สิ่งของ สิ่งที่เห็น เป็นสิ่งที่จริงหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า ก็จริง เพราะเห็นอยู่ว่า มีคน มีสัตว์ สิ่งต่างๆ ก็เห็นกันอยู่ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ สิ่งที่เห็น เป็นคน เป็นสัตว์ สิ่งของ นั้นเป็นเพียงความคิดนึก เป็นเพียงบัญญัติเรื่องราว ไม่ได้มีอยู่จริงเลย ครับ เพราะในความเป็นจริง เห็น ต้องเห็นเพียงสี เท่านั้น คือ ไม่ใช่เห็น สัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่เห็นและเชื่อกัน ไม่จำเป็นจะต้องจริงเลย และเพราะไม่ได้เห็นด้วยปัญญานั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่เห็น ก็ไม่จำเป็นจะต้องจริง ที่ไม่จริง ก็เพราะเกิดจากความไม่รู้ เข้าใจผิดนั่นเองครับ

ดังนั้นจากคำถามที่ว่า ที่คนไม่เชื่อ เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องกรรม เป็นต้น เพราะอะไรก็ต้องเพราะอาศัยสัญญาและธาตุที่ต่างกัน ธาตุหมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง ธาตุต่างกัน ก็ทำให้คิดต่างๆ กัน ที่ไม่เชื่อเพราะอาศัยธาตุเลว คือ อวิชชา ความไม่รู้ อันเป็นธาตุใหญ่ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เห็นผิดว่า สิ่งที่มีจริง ไม่มีจริง และอีกประการหนึ่งเพราะ ไม่มี ตา คือ ปัญญา ที่ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง ก็ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรจริง ไม่จริงครับ ดังนั้น อาศัยความต่างแห่งธาตุ และ สัญญา ความจำ ทำให้คิดต่างๆ กัน ผู้ที่มีธาตุประณีต คือ มีปัญญา ก็ย่อมเห็นตามความเป็นจริง และย่อมเชื่อด้วยปัญญาไม่ใช่เชื่อเพราะเพียงสิ่งที่เห็นและไม่เห็นครับ

ดังนั้น พระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูกมา ย่อมเชื่อด้วยปัญญา ผู้ที่ไม่ได้สะสมความเห็นถูกมา ก็ไม่เชื่อ เพราะมีธาตุต่างๆ กัน ตามที่กล่าวมา และธาตุอวิชชาคือ ความไม่รู้ จะละคลายหมดไปได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อถึง ธาตุที่ประณีต คือ มีปัญญาบรรลุคุณธรรม ย่อมเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะประจักษ์ความจริงด้วยตนเอง ด้วยธาตุอันประณีต คือ ปัญญา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก และที่สำคัญ ถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกและทรงแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง บุคคลที่จะได้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์เคยสะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จึงได้ฟัง ได้ศึกษาได้สะสมปัญญาต่อไป ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟัง ซึ่งมีเป็นส่วนมากนั้น ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ความเข้าใจที่ถูกต้องย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ชีวิตก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ และ ความเห็นผิด พร้อมกับอกุศลประการอื่นๆ อีกมากมาย ความคิด การกระทำ และคำพูด ก็คล้อยไปตามความไม่รู้และความเห็นผิด แม้ในเรื่องของนรก สวรรค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มากทีเดียว สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ย่อมจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้มากทีเดียว ว่าเป็นภพเป็นภพภูมิที่มีจริง เช่นเดียวกับโลกนี้ซึ่งเป็นโลกๆ หนึ่ง เมื่อเกิดในโลกนี้ ก็รู้ว่าโลกนี้มีจริง เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก (แต่ก็เคยไปเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และยังจะต้องเกิดอีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด) แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในสวรรค์ หรือ เกิดในนรก เมื่อนั้นก็จะรู้ได้ว่า สวรรค์ หรือ นรก นั้น มีจริงๆ เพราะมีการตรัสรู้สิ่งที่มีจริงโดยบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุทำให้ผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว มีโอกาสได้ฟังในสิ่งที่มีจริงที่พระองค์ทรงแสดง และมีปัญญาความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง

เรื่องคนอื่นคงไม่ถือเอาเป็นประมาณ และไม่ควรคล้อยตามในสิ่งที่ผิด แต่สำหรับเรา เมื่อได้มีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็ไม่ควรที่จะปล่อยมือจากพระธรรม ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่สูญหายไปไหน ยังสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และจะมีมากขึ้นๆ เมื่อไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 มี.ค. 2555

เป็นเรื่องของกรรมและการสะสมความคิดมาไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเห็นผิดของคนอื่นได้ เช่น ในอดีตกาล มีคนมาถามพระพุทธเจ้าว่า โลกหน้ามีจริงไหม พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเหลือวิสัยที่บุคคลนั้นจะรู้ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พิมพิชญา
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณมากค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ