ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ ในวันมาฆบูชา ๗ มีนาคม ๒๕๕๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  14 มี.ค. 2555
หมายเลข  20773
อ่าน  1,601

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่อาจมีความล่าช้า ในการนำเสนอกระทู้

กิจกรรมการเจริญกุศลของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา

๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านไป ทั้งนี้ เนื่องด้วยมีภารกิจส่วนตัวหลายประการ

ทั้งเรื่องการศึกษาต่อของลูกๆ ทั้งเรื่องภารกิจทางญาติและมิตรสหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่

ควรกระทำการเกื้อกูลแก่กันตามเหตุตามปัจจัย แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่เป็นปกติของปุถุชน

ที่ย่อมมีการเคลื่อนไหวเป็นไปในเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ความต่างของการ

เกิดขึ้นเป็นไปของชีวิตของบุคคลในแต่ละขณะนั้น สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในพระธรรม

ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่า มีประโยชน์

กว่าการที่จะมีชีวิตที่มีความเกิดขึ้นเป็นไปในทุกๆ ขณะ ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้อง

ต้องการ อย่างแน่นอนที่สุด ประโยชน์นั้นจะมากน้อย ก็ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล

และ ความสะสมที่มีมาและน้อมไปในการเจริญกุศลทุกประการ อันจะเป็นบารมีที่ถึงพร้อม

แก่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมคือความจริงนี้ได้ในวันหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยการเจริญขึ้น

ของกุศลธรรมประการต่างๆ ในทุกๆ ขณะ ของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส

การกระทบสัมผัส และ การคิดนึก ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้นี่เอง ไม่ใช่ในขณะอื่นเลย

เจริญกุศลทุกประการ หรือ กุศลทุกประการเจริญ ก็คือ

ขณะนี้ เดี๋ยวนี้

ข้อความจากกระดานธรรมทัศนะ

"...การที่ได้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นปัญญาของตนเอง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม นั้น

เป็นการมีชีวิตอยู่ที่เป็นประโยชน์ เพราะ ขณะที่จะได้ฟังพระสัทธรรม

หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง และ การที่จะเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง ก็ยาก

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสแล้ว ก็ไม่ควรที่จะปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ

สั่งสมความเข้าใจไปทีละเล็ก ทีละน้อย ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าต่อไปข้างหน้า

อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง และ ที่สำคัญ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทั้งนั้น

จึงไม่ควรที่จะประมาท ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ พร้อมทั้งเป็นผู้อบรม

เจริญปัญญาในชีวิตประจำวันด้วย มีพระพุทธพจน์บทหนึ่ง ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้

ซึ่งเป็นเครื่องเตือนพุทธบริษัทได้เป็นอย่างดี ความว่า

" กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติ (พระนิพพาน) เถิด " (จาก...สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๒๔ อัจเจนติสูตร)


อีกข้อความหนึ่งจากกระดานธรรมทัศนะ

ข้อที่ควรพิจารณา คือ ทรัพย์ เมื่อกล่าวโดยประเภทใหญ่ๆ แล้ว มีอยู่ ๒ ประเภทคือ ทรัพย์ภายนอก กับ ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอก เช่น ทรัพย์สิน เงิน ทอง เป็นต้น ไม่มีความมั่นคง ไม่มีความปลอดภัยอาจจะถูกแย่งชิง หรือ อาจจะเสื่อมสูญวันใดวันหนึ่งก็ได้

ไม่ได้เป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ (ภายนอก) อย่างแท้จริง

บางครั้งบางคราวยังอาจจะเป็นเหตุนำอันตรายมาให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของเสียอีก

แต่ทรัพย์ภายใน ซึ่งได้แก่ กุศลทุกประเภท เป็นทรัพย์ที่มีความมั่นคง

มีความปลอดภัย ใครๆ ก็ลักไปไม่ได้ เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง

เป็นสิ่งที่จะติดตามไปในภพหน้า พร้อมทั้งยังเป็นเหตุอำนวยผลที่น่าปรารถนา

ได้ทุกอย่าง เพราะเหตุว่า สิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง สำเร็จด้วยกุศลทั้งนั้น

ทรัพย์ภายใน จึงประเสริฐกว่าทรัพย์ภายนอก เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว

ถึงแม้ว่าจะแสวงหาทรัพย์ภายนอกบ้าง ก็ไม่ควรละทิ้งทรัพย์ภายใน

ด้วยการสะสมความดีประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม

ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป

ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพอาหารและเครื่องดื่ม

รวมถึงดอกไม้ที่ประดับเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ที่สวยงามตระการตา อันเป็นเหตุ

เป็นปัจจัยให้ทุกคนได้น้อมรำลึกในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ

ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในโอกาสวันสำคัญนี้

รวมถึงทุกๆ ท่าน ที่มีมือและเท้า ที่เป็นไปในการเจริญกุศลทุกประการในวันนั้นด้วยครับ

อันดับต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตจากทุกๆ ท่านเช่นเคย ที่จะขอนำเสนอข้อความบางตอน

จากการสนทนาธรรมที่มีความไพเราะอย่างยิ่งในวันนั้น เพื่อให้ทุกๆ ท่านที่ไม่มีโอกาส

ได้เข้าร่วมรับฟังในวันนั้น ได้พิจารณา ตามควรแก่กาล ดังต่อไปนี้ครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

คุณคำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ก่อนที่จะพักครึ่งเวลา ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึง

การให้อภัย คือ การไม่โกรธ ก็ทำให้นึกถึง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ทานทั้ง ๓ ว่า

จะสำเร็จได้เมื่อใด ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ได้กรุณาอธิบายเพิ่มเติมด้วยนะครับว่า

วัตถุทาน จะสำเร็จได้เมื่อมีวัตถุสิ่งของที่จะให้ อภัยทานสำเร็จได้ด้วยศีล

และ ธรรมทาน สำเร็จได้ด้วยปัญญา ครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ความคิด กับ การกระทำเนี่ย บางทีก็ยังไม่ตรง นะคะ

เพราะว่า "คิด" เนี่ย คิดยังไงก็คิดได้ แต่เวลาทำ ตรงกับที่เคยคิดหรือเปล่า?

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นะคะ

บางคนอาจคิดว่า แล้วจะอภัยให้ แต่ว่า พอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังอภัยไม่ได้

ก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

คือ ให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา คือ ธรรมะ จริงๆ

เพราะว่า เกิดแล้วก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่ว่า ต้องไปประดิษฐ์ธรรมะขึ้น นั่นผิด

คือ ไม่ได้เข้าใจเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ในขณะนี้ค่ะ เป็นธรรมะ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่หมดไปแล้ว หรือว่า สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

ต้อง "อดทน" ที่จะรู้ว่า

ขณะนี้ กำลังฟังให้เข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

จนกว่าจะเข้าใจ "ลักษณะ" ของสิ่งที่ปรากฏ ตรงตามที่ได้ฟัง

เมื่อนั้น ก็คือว่า จากขั้นฟัง คือ ปริยัติ นะคะ ก็สามารถที่จะ เพิ่มความเข้าใจ ความเห็นถูก

ในสภาพธรรมะ ซึ่งเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

เมื่อกี้นี้ ฟัง "เรื่องหนึ่ง" นะคะ แต่ถึงเดี๋ยวนี้ "เรื่องนั้น" ไม่มีแล้วค่ะ

มี "สิ่งใหม่" ที่กำลังเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะไป คาดหวัง ว่าเราจะรู้อะไร

แต่ทุกอย่างก็คือว่า ไม่พ้นจาก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะ เริ่มเข้าใจ ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ทุกวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย

ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วหมดไป โดยไม่รู้

เพราะฉะนั้น การฟัง เพื่อรู้ความจริง

เพราะว่า ทุกคนเนี่ยค่ะ ไม่มีใครชอบ สิ่งที่ไม่จริง และ เรื่องที่ไม่จริง

แต่ว่า ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ยาก แล้วก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ด้วย

เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นความจริง ของสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ทุกคนก็พิสูจน์ได้ ด้วยตัวเองว่า รู้หรือยัง?

ฟังด้วย....เห็น....ฟังแล้ว แล้วก็ กำลังเห็นด้วย แต่เห็นขณะนี้ก็เกิดแล้วดับแล้ว

ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ เมื่อวานนี้

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้นะคะว่า เพราะสภาพธรรมะ เกิดดับเร็วมาก

ไม่ต้องหวัง ว่าเราจะรู้ธรรมะไหน

แต่ว่า เริ่มฟัง แล้วก็ เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

ใครก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้

และ เมื่อเกิดแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้งไม่ให้ดับไป

เป็นชีวิตธรรมดา นะคะ

ทุกภพ ทุกชาติ ทุกวัน ทุกขณะ

เพราะฉะนั้น แม้แต่ "คำ" ที่ได้ยินได้ฟังเนี่ย ความลึกซึ้ง มีมาก

เช่น ไม่คำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ธรรมดาใช่ไม๊คะ?

ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอดีต เก่าแก่หลายปีมาแล้ว ไม่วิตก หรือ กังวล หรือ คิดถึง

สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ยังไม่เกิด และ เวลาเกิดเนี่ย จะเป็นอย่างที่คิดหรือ?

เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ

สิ่งใดจะเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องมีเหตุปัจจัย ที่ควรแก่การที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น

เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ นะคะ แม้แต่เรื่องชีวิตประจำวันเนี่ย

จะเดือดร้อนไม๊คะ?

สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หมดแล้วค่ะ

แล้วก็ สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ไม่ใช่ สิ่งที่กำลังปรากฏ นี่เพียงแต่ชีวิตประจำวัน นะคะ

แต่....ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น...ก็คือ...

ขณะใดก็ตาม ที่ฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจ เรื่องสภาพธรรมะ

แล้วก็สามารถที่จะเกิดการ...เริ่ม....เข้าใจ...."ลักษณะ"....ของสิ่งที่ปรากฏ...

จะรู้ได้เลยค่ะ ขณะนั้น ที่กำลังเริ่มเข้าใจลักษณะ ของสิ่งที่ปรากฏ

ไม่มีสิ่งอื่นที่ล่วงแล้ว และ ไม่มีสิ่งที่ยังไม่มาถึง

เพราะฉะนั้น คำนั้น ก็จะเป็นคำที่ ป้องกัน ไม่ให้ตกไปด้วยกำลังของโลภะ

ที่อยากจะให้สิ่งนั้น เป็นอย่างอื่น อยากจะให้มีความเข้าใจสิ่งนั้นทันที เดี๋ยวนี้

ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เพราะเหตุว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ปรากฏตามความเป็นจริง

ว่า "ไม่รู้" คือ อย่างนี้

แล้ว เวลามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สิ่งที่ปรากฏ ก็ปรากฏตามความเป็นจริงว่า

รู้ขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น เป็นอย่างนี้

จนกระทั่งถึง ขณะที่ สภาพธรรมะ ปรากฏตามความเป็นจริง

สามารถที่จะรู้ว่า

ตรงตามที่ได้ฟัง ทุกอย่าง ไม่ต่างกันเลย

นี่คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ

เพราะฉะนั้น ปริยัติ คือ ความรอบรู้ในพระธรรม

ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งต้องสอดคล้องกัน ทั้งหมด เช่น ขณะนี้

สิ่งที่มีจริงๆ จะทำให้ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรมะ

แต่ภาษาไทยที่เข้าใจได้ คือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แหละ

จะไม่ให้เป็นอย่างนี้ ก็ไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว นี่คือ ความหมายของธรรมะ

สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย

นี่ก็คือ ทุกคำเนี่ยนะคะ ถ้ามีความเข้าใจ ละเอียด และ ลึกซึ้งขึ้น จะเห็นได้ว่า

ทำไมกล่าวถึง ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว

เพราะขณะนี้ มีธรรมะ ที่สติ เริ่มเข้าใจ เห็นไม๊คะ เพิ่มความหมายขึ้น

ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นของธรรมดา

แต่ความไม่รู้ ก็ยังไม่รู้ เป็นธรรมดา แต่พอมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จากการฟัง

เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงนี้แหละ ขณะนี้ เป็นจริง อย่างที่กำลังเป็น

แม้ว่ายังไม่ถึงการที่จะรู้ลักษณะที่ละเอียดขึ้น แต่ก็รู้ว่า เป็นจริงๆ มีจริงๆ

สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้

และ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น นะคะ ก็จะเข้าใจความหมายว่า

ในขณะที่เริ่มรู้ เฉพาะลักษณะนั้น ในขณะนั้น สิ่งอื่นซึ่งยังไม่เกิด ก็ยังไม่มาถึง

มีแต่เฉพาะ "สิ่งนั้น"

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะละคลายความติดข้อง

เพียงคำที่ว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่มาถึง

หมายความว่า ขณะนั้น เริ่มรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ

ตรงกันไม๊คะ?

แต่ขณะนี้ ก็เหมือนสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ก็หมดแล้ว สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ยังไม่มาถึง

แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

เท่านี้เองค่ะ คือ ความต่างกัน

เพราะฉะนั้น การฟังก็คือว่า ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏ

แล้วก็มีความเข้าใจขึ้น ในความเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่ของใคร

คุณคำปั่น ท่านอาจารย์ ก็กล่าวถึง ความลึกซึ้งของพระธรรม ที่จะต้องอาศัย

การฟัง การศึกษา ไปตามลำดับ จะขาดการศึกษาในขั้นปริยัติ ไม่ได้เลยนะครับ

ซึ่งปริยัตินี้ ไม่ใช่การศึกษาตำรา หรือว่า ศึกษาวิชาการ

แต่เป็นการศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความรอบรู้ ในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็กราบเรียนท่านอาจารย์

เพิ่มเติมว่า "รอบรู้" ในที่นี้ รอบรู้อย่างไร? ครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ รู้จริงๆ ก่อน นะคะ แล้วก็รู้เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้นของสิ่งที่มีจริงๆ

เช่น ขณะนี้ มั่นคงหรือยังคะ? ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย

แต่เมื่อมีจริง ความจริงของสิ่งนี้ จะรู้ได้อย่างไร?

คิดเองไม่ได้เลยค่ะ

สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ "เห็น" แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

แม้แต่กำลังเห็น นะคะ ก็ไม่รู้ความจริงของ "เห็น" และ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เมื่อฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น

นั่นคือ ความรอบรู้

เช่นขณะนี้ ถ้าไม่มีตา คือ จักขุปสาท ไม่มีสีสันวรรณะ ซึ่งเกิดที่มหาภูตรูป นะคะ

แยกจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย แตเป็นรูปที่ไม่ใช่มหาภูตรูป คือ ไมใช่อ่อนแข็ง เย็นร้อน

ตึงไหว แต่เป็นสิ่งที่สามารถ กระทบตา แล้วแสดงความจริงว่า

สิ่งนี้มี ที่มหาภูตรูป ขณะนั้นก็จะเข้าใจได้ว่า

"เห็น" เกิดขึ้น "เห็น" แล้วก็ดับไป

เพราะว่า ขณะนั้น ทุกคนบอกว่า รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร

พอเห็นก็บอกได้ทันทีว่า เห็นเป็นอะไร

แต่นั่นคือ ยังไม่ได้รู้ความจริงของ "เห็น" กับ ขณะที่รู้ว่า "เห็น" เป็นอะไร

นี่คือ ความละเอียดอย่างยิ่ง ค่ะ

ซึ่งถ้าฟังบ่อยๆ นะคะ ไม่ใช่อยากจะไปประจักษ์อย่างนี้

แต่เริ่มมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่เรา

คุณคำปั่น ก็เป็นการ ค่อยๆ สะสมปัญญา สะสมความเห็นถูก ไปตามลำดับจริงๆ นะครับ

ท่านอาจารย์ ก็ได้กล่าวอยู่เสมอว่า ฟังเมื่อใด เข้าใจเมื่อใด ก็จะเป็นประโยชน์เมื่อนั้น

เป็นการเก็บเล็ก ผสมน้อย เพราะว่า การฟังธรรมะแต่ละครั้ง เป็นการฟังสิ่งที่มีจริง

ซึ่งก็ไม่พ้นไปจาก สภาพธรรมะที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้เลย นะครับ

เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ เป็นการสะสมศรัทธา ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม

เมื่อได้ฟังอีก เพิ่มขึ้นอีก ความรู้ ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้นไปตามลำดับ

ซึ่งก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูล ให้ความรู้ ความเข้าใจในขั้นต่อไป

คือ ขั้นปฏิปัตติ เกิดขึ้น เจริญขึ้นได้

ซึ่งก็เป็นผลมาจากการอบรม จากการฟัง การศึกษาพระธรรม

เป็นปรกติในชีวิตประจำวันนี้เอง นะครับ

คุณประภาส กราบท่านอาจารย์ และ อาจารย์วิทยากร ครับ

ตามที่ท่านอาจารย์ ได้กรุณา แสดงถึงธรรมะ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ท่านอาจารย์กล่าวถึง

ไม่มีสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ท่านอาจารย์กรุณาชี้แนะ ถึงธรรมะเดี๋ยวนี้ว่า

ที่ ธรรมะกำลังปรากฏ ไม่มีสิ่งที่ล่วงไปแล้วนี่ ละบาป ได้อย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ สิ่งที่เกิดแล้ว ดับไป เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว

แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย คุณประภาส ไปตามหาที่ไหนได้ไม๊คะ?

คุณประภาส ตามไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วสิ่งที่ยังไม่เกิด จะให้เกิดได้ไม๊? ในเมืื่อยังไม่เกิด

คุุณประภาส ไม่ได้อีกเหมือนกันครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้เข้าใจ

ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

คุณประภาส ครับ เพราะว่า อยู่ดีๆ จะละบาป จะเอาอะไรมาละบาป

ใช่ไม๊ครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เมื่อกี้นี้ คุณประภาสไปทำอะไรมาบ้างคะ?

คุณประภาส ครับ ก็ล้างหน้า ดื่มน้ำ ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ดื่มน้ำ นะคะ เมื่อกี้นี้ จำได้ ใช่ไม๊คะ?

คุณประภาส จำได้ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้ ยังมี...ดื่มน้ำ...ไม๊?

คุณประภาส ไม่มีแล้วครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดแล้วหมดไปเนี่ย

เหมือนไม่เคยมี หรือเปล่า?

คุณประภาส เพราะตอนนี้ ไม่มีอยู่เลยครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ ทำอะไรตั้งหลายอย่าง นะคะ

จนกระทั่ง แม้ดื่มน้ำ แต่ว่าสิ่งที่เกิดแล้ว ดับไปแล้ว กลับมาอีกไม่ได้เลย หาอีกไม่ได้ นะคะ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เคยมี เมื่อกี้นี้ แล้วไม่มี

ก็เหมือนกับ สิ่งที่ไม่เคยมี นั่นเอง

แต่จำไว้หมดเลย ใช่ไม๊คะ?

เพราะฉะนั้น ความจริง จริงๆ ก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ตลอดชีวิตค่ะ

เมื่อวานนี้ ทำอะไรบ้าง? เมื่อเช้านี้ ทำอะไรบ้าง?

เมื่อดับไปหมดแล้ว นะคะ ไม่กลับมาอีก

ก็เหมือนไม่เคยมีหรือเปล่า?

ต่างกันตรงไหน?

คะ?

เหมือนไม่เคยมี เพราะว่ามีแค่ปรากฏเล็กน้อย แล้วก็หมดไป

คุณประภาส จำได้เฉยๆ แต่ว่าไม่ได้ดื่มน้ำแล้วครับ

ท่านอาจารย์ จำอะไรได้คะ? จำเรื่องราว แต่ว่าสิ่งนั้นไม่มีค่ะ

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่จิตรู้ นะคะ สภาพจำก็จะจำสิ่งนั้น

แม้ว่าสิ่งนั้นไม่มีแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มี ก็ยังเป็นที่จำได้ เป็นที่รัก เป็นที่ชังได้ ใช่ไม๊คะ?

ทั้งๆ ที่ไม่มี

ลองคิดดูก็แล้วกัน

อยู่ไปทำไม? กับสิ่งที่ไม่มี ด้วยรัก และ ด้วยชัง

ในสิ่งที่ไม่มี

คุณประภาส เดือดร้อนครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ

ว่าตลอดชาตินี้ ที่เหมือนมีเนี่ยค่ะ พอจบสิ้นชาตินี้แล้ว ก็เหมือนไม่เคยมีชาตินี้

เพราะว่า จำอะไรไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ก่อนถึงวันที่จะจากโลกนี้ไป หายไป แล้วไปไหนก็ไม่รู้

เกิดมาแล้ว ทำอะไร?

เหมือนอย่างเมื่อกี้นี้ นะคะ ฟังธรรมะแล้ว รู้ว่าธรรมะชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วดับไป

แล้วจะทำยังไงต่อไปคะ?

[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย

ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย.

[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเจริญด้วยญาติมีประมาณน้อย

ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่าเราทั้งหลายจักเจริญด้วยปัญญาดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้แล.

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 143

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านวิทยากร และ ทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
daris
วันที่ 14 มี.ค. 2555

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kinder
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 15 มี.ค. 2555

" กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติ (พระนิพพาน) เถิด "ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอน้อมจิตอนุโมทนาในกุศลจิต ของทุกๆ ท่านด้วยเศียรเกล้าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wanipa
วันที่ 15 มี.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 15 มี.ค. 2555

สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ การได้สะสมความดี สะสมปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
aurasa
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ทั้งๆ ที่ไม่มี

ลองคิดดูก็แล้วกัน

อยู่ไปทำไม? กับสิ่งที่ไม่มี ด้วยรัก และ ด้วยชัง

ในสิ่งที่ไม่มี

กราบขอบพระคุณท่านอจ.สุจินต์ และวิทยากรค่ะ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ...เริ่มฟัง แล้วก็ เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

ใครก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้

และ เมื่อเกิดแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้งไม่ให้ดับไป

เป็นชีวิตธรรมดา นะคะ

ทุกภพ ทุกชาติ ทุกวัน ทุกขณะ...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
raynu.p
วันที่ 15 มี.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
oom
วันที่ 19 มี.ค. 2555

ได้อ่านธรรมะจากการสนทนาในวันมาฆะบูชา ทำให้ซาบซึ้งในรสพระธรรมเหมือนเดิม

ถึงแม้ไม่ได้มาด้วยตนเอง ก็ติดตามฟังจากวิทยุ ซีดี และทางเว็ปบ้านธัมมะตลอด ธรรมะ

ของพระพุทธเจ้ายิ่งศึกษายิ่งเห็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

ขอกราบอนุโมทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างสูง ความเมตตา

ของท่านอาจารย์เปรียบเหมือนเปลวเทียนที่ให้แสงสว่างต่อลูกศิษย์ทุกๆ คนเลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 19 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ