คำพูดและการกระทำที่เป็นอกุศล ถ้าทำบ่อย ๆ จะได้รับผลกรรมอย่างไร
เป็นคนที่เถียงแม่มาตั้งแต่เด็ก และปัจจุบันต้องมาดูแลแม่ที่อายุมากและกำลัง ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้องรังเพราะความดันโลหิตสูง แม่จะมีอาการวิตกจริต ห่วงไปเสียทุกอย่าง และก็จะต้องให้นั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่เนื่องจากว่าดิฉันมีงานบ้านที่ต้องทำ ไปตลาด และอื่นๆ บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับแม่ กลางคืนก็นอนด้วย แต่แม่ก็มักจะลุกขึ้นมาวุ่นวาย ห่มผ้า ปลุกให้ตื่น เพื่อถามว่าประตูหน้าต่างปิดหรือยัง เดี๋ยวให้เปิดไฟ เดี๋ยวให้ปิดไฟ เดี๋ยวถามถึงหลาน และก็อื่นๆ อีกมากมาย จนดิฉันทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาดุด่า ว่ากล่าวแม่ด้วยน้ำเสียงที่ดังโวยวาย บางครั้งก็บีบแขนก็มี นี่คือเรื่องราวโดยย่อ แต่จริงๆ แล้วมีเรื่องราวอีกมากมายเป็นประจำ ซ้ำๆ ทุกวัน หลายเวลา เป็นเวลาหลายปี กรรมที่ดิฉันดุด่า ว่าแม่ เถียงแม่ เช่น เมื่อแม่ไม่ได้ดังใจ ก็จะบอกว่า เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กด้วยความยากลำบาก เลี้ยงดูลำพัง เพราะพ่อของดิฉันทิ้งแม่ไปตั้งแต่ดิฉันยังไม่คลอด โตแล้วมีครอบครัว แล้วก็ลืมแม่ ไม่มีน้ำใจ ดิฉันได้ยินก็โมโห เพราะความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แม่ต้องการ เป็นความวุ่นวายถึงคนอื่นมากกว่า เช่น ความเป็นห่วงสารพัด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลย ดิฉันก็เลยเถียงว่า อยากมีลูกก็ต้องเลี้ยงลูกซิ ใครๆ เขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน และดิฉันก็ทำให้ทุกอย่างแล้ว จะเอาอะไรอีก ขณะที่พูดรู้สึกว่าสะใจที่ได้ตอบโต้ แต่ดิฉันก็ยังคงดูแลทุกอย่าง เช่น การกิน ขับถ่าย อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน ล้างหน้า เหมือนเดิม แต่บางครั้งก็ทำด้วยความรู้สึกที่เบื่อ บางครั้งแม่วุ่นวายมากๆ ถึงกับเคยคิดว่า เมื่อไหร่แม่จะจากไปซะที เมื่อได้สำนึกก็เสียใจ บอกว่าจะไม่ทำอีก แต่เมื่อถูกกระตุ้น ก็เป็นเช่นนี้อีก ซ้ำๆ อยู่ทุกวัน จนเบื่อหน่ายมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดกรรมกัน ซะที แต่ได้ลูกๆ ทั้งสองคน และญาติมิตรคอยเตือนให้มีสติอยู่เสมอ แนะนำให้ฟังการบรรยายธรรมโดย อ.สุจินต์ ดิฉันก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง และก็อ่านหนังสือธรรมะด้วย ทำให้หลังๆ มีสติมากขึ้น ทำผิดน้อยลง แต่ก็ยังไม่หมด ไม่ทราบว่าถ้าสำนึกผิดแล้ว ค่อยๆ ลดการกระทำผิดลง จะช่วยให้กรรมน้อยลงได้หรือไม่ และผลของกรรมจะเป็นอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ตามธรรมดาของปุถุชน ก็มีกิเลสเป็นธรรมดา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถล่วง ศีล ทำบาป อกุศลกรรมได้ แม้การฆ่า บิดา มารดายังทำได้ จะกล่าวไปไยถึงอกุศลต่างๆ นี่คือ ความเป็นโทษของปุถุชน ครับ ดังนั้น กรรมที่ได้ทำไปแล้วก็เป็นอันทำไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ แม้การว่า บิดา มารดา ก็เป็นอกุศลที่ไม่ดี ก็ได้ทำสำเร็จไปแล้ว ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่การคิดว่าจะไดรับผลของกรรมอย่างไรในการกระทำกรรมนั้น แต่ประโยชน์ คือ เห็นโทษของการกระทำกรรมนั้น แล้วตั้งใจสำรวมที่จะไม่ทำกรรมนั้นอีก เพราะเห็นโทษด้วยปัญญา นี่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เพราะเป็นการละ สละ ขัดเกลากิเลส อันใช้ตัวอย่างจากการกระทำที่ผ่านมาเป็นบทเรียนด้วยการพิจารณาด้วยปัญญาที่เห็นโทษของกิเลส
ดังในข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงว่า
เมื่อผู้ที่ทำผิดเป็นผู้มีคุณ เธอไม่ควรโกรธ
หากผู้ที่ทำผิด ไม่มีคุณกับเราเลย ควรสงสารเป็นพิเศษ
เพราะเขาทำผิด ก็ต้องได้รับผลที่ไม่ดี ควรหรือที่จะโกรธ ทำไม่ดีกับเขาอีก ดังนั้น มารดา บิดา เป็นผู้มีพระคุณกับเรามาก และเป็นธรรมดาที่มารดา บิดา เป็นปุถุชน และท่านก็ป่วย ทำให้ท่านมีเกิดอกุศลจิต จึงมีการกระทำที่ไม่ดีกับเราบ้างเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจถึงคนป่วย และ ความเป็นปุถุชนและผู้มีพระคุณ ก็ต้องอดทนมากขึ้นครับที่จะเข้าใจท่าน นึกถึงสิ่งที่ดีของท่านที่มีด้วยความเข้าใจ ก็จะไม่โกรธหรือโกรธน้อยลงครับ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นครับ ที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ดีจากตัวเรา ไม่ใช่ใครอื่น เพราะเมื่อเราดี ด้วยเมตตา อดทน คนอื่นจะทำอย่างไร เราก็เข้าใจ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นครับ พระธรมเท่านั้นที่จะช่วยได้ แต่ทีละเล็กละน้อย อาศัยการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยให้ความเข้าใจพระธรรม
ดังนั้น ประเด็นนี้ จึงไม่สำคัญที่ผ่านมา กรรมที่ไม่ดีที่คุณทำจะให้ผลอย่างไร เพราะผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ สิ่งใดผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว สำคัญ คือ เริ่มต้นใหม่ในขณะนี้ และเห็นโทษในการกระทำที่ผ่านมา เพื่อสำรวมระวังต่อไป ดังเช่น พระภิกษุทำผิดในพระศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเตือน และกล่าวว่า เป็นโมฆบุรุษ พระภิกษุรูปนั้นเห็นโทษในการทำผิดของตนจึงขอขมาในสิ่งที่ทำ สำนึก พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเห็นโทษสำรวมระวังต่อไป เป็นสิ่งที่ถูกและสมควร ครับ สะสมสิ่งที่ดีใหม่ในปัจจุบันได้ด้วยการฟังพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นจะทำให้อดทนขึ้นและรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นปกติธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่จริงๆ ที่ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน บ่อยครั้งและมากด้วยที่เป็นไปกับด้วยอกุศล ยังเกิดแม้กระทั่งต่อบุคคลผู้มีพระคุณเช่น มารดา บิดา เป็นต้น ทำให้เห็นถึงความน่ากลัวของกิเลสว่า สามารถกระทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้ทุกเมื่อ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง และแน่นอน ขณะที่อกุศลจิตเกิด ตนเอง ย่อมเดือดร้อน จิตใจหนักไปด้วยอกุศล จึงไม่ควรที่จะประมาทกำลังของอกุศล สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป อกุศลกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว ไม่สามารถที่จะไปแก้ไขได้ สำคัญที่ขณะนี้ ได้เห็นโทษของการกระทำที่ไม่ดี แล้วพร้อมที่จะแก้ไขใหม่ ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ด้วยกุศลธรรม กล่าวได้ว่า วันนี้ จึงยังไม่สายสำหรับผู้ที่ตั้งใจ มีความจริงใจที่จะกลับตัวกลับใจเสียใหม่ เพิ่มพูนซึ่งกุศลคุณงามความดีทั้งหลาย ถอยกลับจากอกุศลทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่เริ่มต้นเลย
ดังนั้น ชาตินี้ วันนี้ รวมถึงทุกๆ วันด้วย จึงควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศล ประกอบคุณงามความดี อบรมเจริญปัญญา ศึกษาธรรมให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง สะสมความเข้าใจธรรมไปตามลำดับ ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง กิเลสทั้งหลายก็จะลดน้อยลง ตามระดับขั้นของปัญญา ความเดือดร้อนใจก็จะลดลงไปด้วย ครับ.
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า การทดแทนพระคุณพ่อ แม่ แม้จะเลี้ยงดูท่านอย่างดีให้ข้าว ให้น้ำ อาบน้ำให้ ประคองอยู่บนบ่า ตลอดร้อยปี ก็ยังชื่อว่าตอบแทนพระคุณไม่หมด จนกว่าจะให้พ่อ แม่ ที่ไม่มีศรัทธา ให้ตั้งอยู่ในศรัทธา ไม่มีศีลให้ตั้งอยู่ในศีล ไม่มีจาคะให้ตั้งอยู่ในจาคะ ไม่มีปัญญาก็ให้ตั้งอยู่ในปัญญา จึงจะชื่อว่าตอบแทนพระคุณได้อย่างแท้จริง ค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในคำแนะนำและให้กำลังใจในการใช้ธรรมะแก้ปัญหา เพราะดิฉันเอง เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า เกิดจากความเครียด ทำให้ ความดันสูง น้ำตาลสูง กรดไหลย้อน นอนไม่หลับ ต้องหาหมอด้านจิตเวช ทานยาอยู่ ประมาณ ๘ เดือน อยากตาย แต่ก็คิดถึงภาระต่อแม่ และลูก เพราะแม่มีดิฉันแค่คนเดียว ส่วนลูกก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ได้สามีดีมาก ไม่เคยต่อว่าหรือผลักไสไล่ส่งแม่ดิฉัน (หลุด บ้างเป็นบางครั้ง) กลับช่วยดูแลแม่ และนอนเป็นเพื่อนแม่ดิฉันเกือบปี จนดิฉันมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น พร้อมจะดูแลแม่อีกครั้ง ดิฉันโชคดีที่สามีและลูกสาวทั้งสองน่ารัก พ่อสามีและพี่น้องของสามีก็ดี ให้ความเข้าใจ และบอกให้อดทน ที่เล่าถึงเรื่องนี้เพราะเข้าใจแล้วว่า จิตที่หนักไปด้วยอกุศล ทำให้ตัวเองต้องประสบกับความเดือดร้อน ทุกข์ใจ ดิฉันเป็นผู้ที่ประมาทในอกุศลจริงๆ ดิฉันจะพยายามใช้ความอดทนและมีสติให้มาก และ จะระลึกอยู่เสมอถึงบุญคุณของแม่ในวันที่แม่ยังมีกำลังที่ดีอยู่ แม่ทำทุกอย่างให้ดิฉัน สำหรับดิฉันยังโชคดีที่มีโอกาสได้ฟังธรรมะที่ตรงจาก อ.สุจินต์ แต่อยากให้แม่ได้ฟังและ รู้จักธรรมะบ้าง แต่อุปสรรคคือแม่ฟังภาษาไทยไม่ได้ ดิฉันแปลให้ก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ จะมีวิธีไหนที่จะให้แม่ได้เข้าใจในธรรมะที่ละเอียด เรื่องของการปล่อยวาง (เกรงว่าเวลามีน้อยเต็มที เพราะหลังสุด หมอบอกว่า ไตของแม่เสื่อมมากขึ้นแล้ว) นอกจากรู้จักแค่การทำความดีโดยทั่วไปเท่านั้น
กราบขอความกรุณาผู้รู้ให้คำแนะนำด้วย ขอขอบพระคุณค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ
ตลอดชีวิตคนเรา จะไปหวังให้ได้สิ่งที่เป็นไปตามที่ใจเรานั้นต้องการไปเสียทุกอย่าง เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก ด้วยเหตุว่า ความต้องการของโลภะนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน ... จากความต้องการสิ่งหนึ่ง แม้หากเราได้สิ่งที่เราต้องการแล้ว ก็ไปสู่ความต้องการอีกสิ่งหนึ่ง ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ ตลอดต่อเนื่องไปจนหาที่สุดเบื้องปลายไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้โอกาสแก่สรรพสัตว์ที่จะเกิดปัญญา ในการขัดเกลาโลภะ อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งปวง
การกระทำกรรมใดๆ ทุกอย่าง ถ้าไม่ได้เป็นไปด้วยความพึงพอใจที่จะกระทำ (ฉันทะ) แล้ว ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความขุ่นใจได้ เพราะไม่ได้เกิดสุขเวทนาร่วมด้วยในขณะที่ทำกรรมนั้นๆ ความต้องการทำกิจนั้นซ้ำเดิมอีกบ่อยๆ จึงเป็นไปได้น้อย ... ด้วยเหตุว่า คนเราทุกคนล้วนตามหาความสุข ไม่มีใครอยากหาความทุกข์ใส่ตัว ดังนั้นหากสิ่งใดที่เรายังไม่มีความเห็นว่า ทำแล้วจะได้สุขที่ต้องการในช่วงเวลานั้นๆ ก็จะไม่เกิดความยินดีในการกระทำนั้น หากไปฝืนทำก็จะเกิดความขุ่นใจตามมา
ประการแรก จะต้องเห็นคุณค่าจริงๆ เห็นประโยชน์ของกุศลนี้เสียก่อนว่า การบำรุงบิดา มารดาเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่านฯ เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ควรแก่การสรรเสริญโดยบัณฑิตทั้งหลาย เพราะผู้บำรุงบิดา มารดานั้น จัดเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก ... และการได้มีโอกาสเจริญกุศลด้วยวิธีนี้ เป็นสิ่งที่หาโอกาสได้ยากด้วย ไม่ใช่จะหาทำกันได้ง่ายๆ เลย
๒. จะต้องมีฉันทะ ความพึงพอใจในกิจปัจจุบันที่ทำอยู่ โดยความเป็นกุศล กล่าวคือ โยนิโสมนสิการะในกิจนั้นว่า เป็นกิจที่ทำเพื่อผู้อื่นให้มีความสุข โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ และไม่ใช่ทำเพื่อตนให้มีความสุข ... เมื่อใดที่ผู้คนรอบๆ ข้างมีความสุขขึ้น ตามที่เราต้องการ เราก็จะพลอยยินดีในสุขของคนเหล่านั้นด้วย เพราะเราได้ผลสมดังความปรารถนาตามที่ได้ตั้งใจไว้ เราก็จะได้ทำกิจที่เราต้องการทำด้วยความสุขทุกๆ ครั้ง
๓. หากไม่มีฉันทะในกิจที่ทำ เพราะบังคับให้เกิดฉันทะไม่ได้โดยง่าย ความสุขที่จะเกิดระหว่างการทำกิจนั้นก็คงจะมีไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีสร้างเหตุให้เกิดฉันทะ ด้วยประการต่างๆ เช่น คิดถึงประโยชน์อื่นๆ ที่จะได้รับจากกิจนี้ ตามกำลังปัญญาฯ ที่จะคิดได้ในขณะนั้น ... แต่อย่าไปคิดถึงว่าเป็นการจำเป็นต้องฝืนทำ หรือจำยอมต้องทำกิจนี้เพื่อชดใช้วิบากกรรม เพราะเป็นการสร้างเหตุให้เกิดปฏิฆะตามมามากมาย และเป็นการตั้งจิตไว้ผิดด้วย
๔. หากไม่เกิดฉันทะความพึงพอใจแล้ว สุขเวทนาก็ย่อมเกิดได้ยาก จึงเกิดความไ่ม่อยากทำอีก ก็ต้องพิจารณาหาเหตุดูว่าทำไมจึงไม่อยากทำ แล้วแก้ที่เหตุนั้น ทีละประเด็นๆ ซึ่งการพิจารณาอย่างนี้ เป็นเรื่องยากมากทีเดียว ... ถ้าหากสร้างฉันทะเพื่อให้เกิดความสุขไม่ได้จริงๆ ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ขณะที่เกิดความคิดเห็นที่ว่า "กิจนี้ไม่น่าทำ" อันเป็นเหตุของความไม่อยากทำ นั้นเป็นเพียงแค่สังขารปรุงแต่งไปตามการสะสมเท่านั้น ไม่ใช่สาระ ไม่ใช่สิ่งที่ควรไปยึดมั่นเป็นจริงเป็นจังว่า กิจนี้มันไม่น่าทำจริงๆ ตามการปรุงแต่งฯ โดยแท้ที่จริงแล้ว กิจทุกอย่างมีความสุขอยู่ในตัว ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ด้วยความผ่อนคลาย มีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันธรรม ก็จะเพลินไปในกิจการงานทุกอย่างที่ทำ แล้วก็จะเสร็จไปด้วยดีทุกครั้ง และจะมีความสุขได้บนความเป็นอุเบกขา คือมีจิตที่เป็นกลางต่อกิจนั้นๆ มีความคิดเห็นว่า มันจะทำไปแล้วเกิดสุขหรือทุกข์ก็ได้ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้ต้องการแต่สุขเพียงอย่างเดียว.
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ boong ด้วยความยินดียิ่งที่คุณ boong ได้มีโอกาสเจริญกุศลอันกระทำได้ยากเช่นนี้ และขอเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านค่ะ
ขอส่งกำลังใจให้ค่ะ ดิฉันก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน เข้าใจและเห็นใจจริงๆ เพราะยังโกรธ ยังทำไม่ดีต่อท่านอยู่เป็นปกติ การได้มีโอกาสดูแลมารดา บิดา นับเป็นโอกาสทอง แต่เป็นเพราะเรายังมีโลภะอยู่ มีความรัก ความติดข้อง ความต้องการให้เป็นไปอย่างใจเรา เมื่อไม่เป็นอย่างใจ ก็ไม่พอใจ ก็เกิดโทสะ คือโกรธ แล้วก็ตามมาด้วยอกุศลต่างๆ ก็จะเป็นเช่นนี้ จนกว่าเมตตาจะปรากฏ ควรศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้มากขึ้น รวมทั้งธรรมะอื่่นๆ ประกอบด้วย
ถ้าเมตตายังน้อย ก็ต้องอดทน อดกลั้นมากๆ สิ่งที่จะช่วยได้ คือ ศึกษาฟังธรรม แล้วทำความเข้าใจ ไตร่ตรองธรรมะ บ่อยๆ ดังที่ท่านอาจารย์และอาจารย์ทุกท่านได้กล่าวไว้ ความโกรธจะทุเลาเบาบางลงได้ แล้วคุณจะเครียดหรือเหนื่อยน้อยลง
ขอเสนอแนะให้คุณนำธรรมะที่อยากให้คุณแม่ได้ฟัง เอาไปให้ล่ามพูดอัดใส่เทป แล้วเปิดให้ท่านฟังค่ะ และอย่างที่อาจารย์ทั้งสามท่านแนะนำ นอกจากคุณเจริญกุศลของตนเองแล้ว ก็อย่าลืมให้คุณแม่เจริญกุศลของท่านด้วย อย่างน้อยให้ท่านรักษาศีลห้าให้ครบ สวดมนต์ ทำบุญทำทาน อนุโมทนา อุทิศส่วนกุศล อยู่เสมอ
(ขอขอบพระคุณคุณรากไม้และคุณ sirijata) สำหรับกำลังใจและธรรมะที่ได้กรุณาแนะนำให้ค่ะ ยิ่งดิฉันได้มีโอกาสรู้ธรรมะ แม้จะยังไม่มาก ยังทำให้ดิฉันรู้สึกว่าที่ผ่านมาดิฉันได้ทำอกุศลมากมายด้วยมิจฉาฐิติ (โดยเฉพาะกับคุณแม่) เพราะรู้ทั้งรู้ว่าท่านลำบากมากในการเลี้ยงดูด้วยลำพังเพียงคนเดียว ภาษาไทยก็ไม่เข้าใจ ยังอดทนยืนหยัดที่จะทำให้ ๒ ชีวิตรอดมาได้ (โดยความช่วยเหลือและกำลังใจของญาติและเพื่อนบ้านหลายๆ คน) ทุกอย่างที่จะสามารถทำได้ แม้กระทั่งขอให้ดิฉันได้ทุนในการเรียนจากทางโรงเรียนประถม โดยทางมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งมอบให้ และในภายหลังคุณแม่ก็ได้ให้ดิฉันนำเงินไปบริจาคให้กับทางมูลนิธิฯ จำนวนหนึ่ง ไม่มากเท่าไหร่ เพื่อเป็นการขอบคุณและเพื่อมอบให้สำหรับการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป ทุกสิ่งที่ท่านทำ ก็เพื่อดิฉันทั้งสิ้น ดิฉันบาปมากจริงๆ และสิ่งที่ดิฉันรู้สึกทุกข์ก็เพราะว่า สำนึกได้ แล้วก็หลงลืมสติ เวลาที่ถูกกระตุ้นอีก ทำให้เห็นตัวเองประมาทในอกุศลอย่างมาก หลังจากนี้จะพยายามตั้งสติให้มากๆ ก่อนที่จะไม่มีคุณแม่ให้ได้ตอบแทนอีก
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ