คุณของธรรมฝ่ายดี และโทษของธรรมฝ่ายชั่ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของธรรมฝ่ายดี (กุศลธรรม) และ โทษของธรรมฝ่ายชั่ว (อกุศลธรรม) มีมากทีเดียว ในพระสุตตันปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท (อยู่ระหว่างเล่มที่ ๔๐-๔๓) จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สะสมมาแตกต่างกัน ความประพฤติเป็นไปจึงแตกต่างกัน ตามการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
กล่าวถึงคุณประโยชน์ของธรรมฝ่ายดี ก่อน อย่างเช่น เรื่องมัฏฐกุณฑลี มัฏฐกุณฑลีมาณพ เป็นลูกเศรษฐี พอป่วยบิดาก็ไม่ได้ทำการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ที่สามารถกระทำได้ตามฐานะของตน เพราะตระหนี่อย่างมาก ได้แต่หาพวกยาสมุนไพรมารักษา ก็ไม่ทันการ อาการป่วยของลูกได้ทรุดหนักลงไปอีก ไม่สามารถจะลุกขึ้นได้ ได้แต่นอนอยูกับที่ แถมยังถูกบิดานำออกมาไว้ที่ระเบียง เพราะไม่ต้องการให้คนที่มาเยียมเข้ามาภายในบ้าน กลัวจะเห็นสมบัติของตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมาอนุเคราะห์เกื้อกูล ทรงเปล่งพระรัศมี มัฏฐกุณฑลี เห็นแสงสว่างนั้น จึงนอนพลิกกลับมา เห็นพระศาสดาแล้ว ไม่สามารถกระทำความดีอย่างอื่นได้นอกจากได้ยังใจให้เลื่อมใส เท่านั้น เมื่อพระองค์พอกำลังเสด็จลับตาไป มาณพนั้นมีใจเลื่อมใส ตายไปเกิดในวิมานทองสูงประมาณ ๓๐ โยชน์ในเทวโลก
ซึ่งในที่สุดมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เศรษฐีผู้เป็นบิดา ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกัน จากที่เป็นผู้ตระหนี่ ก็ไม่เป็นผู้ตระหนี่อีกต่อไป เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของลาชเทพธิดา ก่อนที่จะได้เกิดเป็นเทพธิดา ท่านเป็นหญิงที่รักษาไร่ข้าวกล้า ได้ถวายทานแก่พระมหากัสสปะ ขณะที่เดินทางกลับบ้านนั้น คิดถึงทานกุศลที่ตนเองได้กระทำ ในระหว่างนั้นงูก็ได้กัดนาง ทำให้นางถึงแก่ความตาย ได้เกิดเป็นเทพธิดาชือว่า ลาชเทพธิดา ท่านเห็นว่าตนเองเป็นเทพธิดาเพราะผลแห่งการถวายทานแก่พระมหากัสสปะ จึงลงมากระทำอุปการะตอบแทนแก่พระเถระ ด้วยการตั้งน้ำใช้น้ำฉัน กวาดวิหาร เป็นต้น ซึ่งพระมหากัสสปะ พอได้ทราบความเป็นไปนั้น จึงกล่าวห้ามไม่ให้กระทำอย่างนี้ ทำให้นางเสียใจร้องไห้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความเป็นไปนั้น ทรงแผ่พระรัศมีดุจประทับนั่งตรัสอยู่ในที่เฉพาะหน้าตรัสถึงคุณประโยชน์ของบุญ ซึ่งเป็นความดี ว่า การทำบุญเป็นเหตุให้เกิดสุขอย่างเดียว ทั้งในภพนี้ ทั้งในภพหน้า และได้ตรัสพระคาถา ว่า "ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ พึงทำความพอใจในบุญนั้น เพราะว่า ความสั่งสมบุญ ทำให้เกิดสุข" ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ลาชเทพธิดา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
นี้เป็นตัวอย่างของคุณประโยชน์ของธรรมฝ่ายดี ไม่เคยนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนโทษของธรรมฝ่ายชั่วนั้น ยกตัวอย่างเรื่องของพระเทวทัต ได้กระทำกรรมที่ไม่ดีมากมาย ทั้งกระทำร้ายพระพุทธเจ้าจนกระทั่งพระโลหิตของพระองค์ได้ห้อขึ้น ได้กระทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน เป็นผู้กระทำแต่อกุศลกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนชั่วกระทำได้โดยง่าย พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบและได้เกิดในอเวจีมหานรก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส พระภิกษุทั้งหลายได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระเทวทัตเกิดที่ไหน พระองค์ตรัสว่า เกิดในอเวจีมหานรก ภิกษุทั้งหลายได้ทูลถามต่อไปว่าพระเทวทัตประพฤติเดือดร้อนในโลกนี้แล้ว ไปเกิดในสถานที่เดือดร้อนนั่นแลอีกหรือ" พระองค์ตรัสว่า "ชนทั้งหลาย จะเป็นบรรพชิตก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม มีปกติอยู่ด้วยความประมาท ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสองทีเดียว" และได้ตรัสพระคาถาว่า
"ผู้มีปกติทำบาป ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมเดือดร้อน เขาย่อมเดือดร้อนใน โลกทั้งสอง เขาย่อมเดือดร้อนว่า 'กรรมชั่วเรา ทำแล้ว,' ไปสู่ทุคติ ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้น"
อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องพระเจ้าสุปปพุทธศากยะ (พระบิดาของพระนางยโสธราพิมพา และ พระเทวทัต) โกรธเคืองพระสัมมสัมพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ทิ้งลูกสาวของตนและเป็นผู้มีเวรกับลูกชายของตน จึงได้ปิดเส้นทางการเสด็จดำเนินของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถูกพวกมหาดเล็กทูลเตือน ก็ไม่ฟัง เป็นเหตุให้พระเจ้าสุปปพุทธศากยะถูกแผ่นดินสูบ เกิดในอเวจีมหานรก ... ฯลฯ ...
จากข้อความธรรมที่ได้ยกมานั้น เป็นเครื่องเตือนที่ดี แสดงถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างธรรมฝ่ายดี กับ ธรรมฝ่ายชั่ว กุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใด ทั้งทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญา ก็ควรอบรมเจริญทั้งนั้น ในขณะที่กุศลเกิด ย่อมขัดเกลาอกุศล อกุศลเกิดไม่ได้ในขณะที่จิตเป็นกุศล ในทางตรงกันข้าม ธรรมฝ่ายชั่ว ซึ่งเป็นอกุศลธรรม นั้น เป็นธรรมฝ่ายดำ เป็นบาปธรรม ให้ผลเป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ซึ่งไม่ควรเลยที่จะสะสมอกุศลให้มีมากขึ้น เพราะขึ้นชื่อว่าอกุศลหรือธรรมฝ่ายชั่วแล้ว น่ากลัวทุกอย่างทุกประการ จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นผลของกรรม และ อีกส่วนหนึ่งเป็นการสะสมกรรมที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า เช่น ขณะที่เราทำกุศล ภพภูมิที่ดีก็รออยู่แล้วข้างหน้า ขณะที่ล่วงศีลทำทุจริต ทุคติภูมิ ก็รออยู่แล้วข้างหน้าเช่นกัน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นคุณของธรรมฝ่ายดี และชี้ให้เห็นโทษของธรรมฝ่ายชั่ว อยู่ในธรรมบทหลายเรื่อง ครับ
เรื่อง คุณของธรรมฝ่ายดี คือ บุญ ที่เป็นเรื่อง นางสุมนาเทวี นางสุมนาเทวี เป็นบุตรสาวของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บุตรสาวเป็นพระสกทาคามี ท่านอนาถะ เป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถะ ให้บุตรสาวทำหน้าที่คอยให้ทานกับพระภิกษุสงฆ์ แต่เพราะกรรมของนางที่ทำให้จะสิ้นชีวิต ก็ใกล้ตาย พ่อ คือ ท่านอนาถะ มาเยี่ยม บุตรสาวเรียกท่าอนาถะ ว่า น้องชาย ท่านอนาถะ สำคัญว่า บุตรสาวเพ้อเพราะใกล้ตายจึงร้องไห้ และ บุตรสาวก็ตายจากไป ท่านอนาถะจึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นางไม่ได้เพ้อหรอก แต่เพราะนางเรียกท่านว่าน้องชาย เพราะนางเรียกด้วยคุณธรรมของนางสูงกว่าท่าน เพราะนางเป็นพระสกทาคามี ส่วนท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน ท่านอนาถะ ถามว่า ลูกสาวข้าพระองค์ไปเกิดที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เกิดที่ภพดุสิต ท่านอนาถะ จึงกล่าวว่าบุตรสาวข้าพระองค์ยินดี เพลิดเพลินในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ยังเพลิดเพลินอีกหรือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน เขาย่อมเพลิดเพลิน ในโลกทั้งสอง เขาย่อมเพลิดเพลินว่า 'เราทำบุญ ไว้แล้ว' ไปสู่สุคติ ย่อมเพลิดเพลินยิ่งขึ้น
ผู้ที่ทำบุญ ไม่ว่ากุศลประเภทใด ผลของบุญย่อมนำความสุขมาให้ และเกิดในภพภูมิที่ดี ครับ
เรื่องโทษของกรรมชั่ว
ในคาถาธรรมบท
เรื่อง นายจุนทสุนทริก
นายจุนทสุนทริก ฆ่าหมูและสัตว์มาตลอดชีวิต ทำบาปเป็นอันมาก เมื่อถึงคราวใกล้ตาย ก็ร้องเหมือนสุกร ๗ วัน และเมื่อตายไปก็เกิดในนรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ทำบาปเป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง เขาเห็นกรรมเศร้าหมองของตนแล้ว ย่อมเศร้าโศก เขาย่อมเดือดร้อน"