รูปที่เกิดจากอุตุและอาหาร และรูปที่เกิดจากกรรมและจิต เป็นปัจจัยแก่กายวิญาณจิตที่เป็นวิบากจิตต่างกัน?

 
Thanapolb
วันที่  21 มี.ค. 2555
หมายเลข  20842
อ่าน  2,138

ขอเรียนถามอย่างนี้นะครับ (หัวข้ออาจต่างที่จะถามเล็กน้อยในรายละเอียดเพราะจำกัดข้อความ)

อยากจะเรียนถามว่ากายวิญญาณจิตที่เป็นวิบาก ที่รู้อารมณ์ที่เป็นรูป และเป็นรูปที่ไม่ดี ที่เรียกว่าทุกขเวทนา หรือเกิดทุกข์ทางกายนั้น ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากอุตุหรืออาหาร ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม และจิต กายวิญญาณจิตที่เป็นวิบากมีลักษณะต่างกันหรือไม่อย่างไร

เช่น ระดับของเวทนาที่เป็นความทุกขเวทนา หรืออย่างอื่น ช่วยอธิบายขยายความด้วยครับ (ปัญญายังน้อยนิด คำถามอาจไม่ชัดเจน เพียงแต่คิดไปว่า (คิดเอาเองไม่ดี) ถ้าไม่เข้าใจแล้ว หากเกิดทุกขเวทนา ไม่ว่าเพราะรูปที่เกิดจากสมุฏฐานอะไรก็เอามาเป็นทุกข์ทางใจได้ทั้งนั้นเลย จะถามทวนกลับคืนได้ครับ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ คำว่า กายวิญญาณจิต ก่อนครับ

กายวิญญาณ

กาย (กาย) + วิญฺญาณ (สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์)

สภาพรู้แจ้งอารมณ์ทางกาย หมายถึง อเหตุกวิบากจิต ๒ ดวง ซึ่งเกิดที่กายวัตถุ (กายปสาท) ทำผุสสนกิจ คือรับรู้โผฐฐัพพารมณ์ที่กระทบทางกาย

กายวิญญาณ ที่เกิดร่วมกับทุกขเวทนา เป็นอกุศลวิบาก ๑ ดวง รับรู้โผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่ดี กายวิญญาณ ที่เกิดร่วมกับสุขเวทนา เป็นกุศลวิบาก ๑ ดวง รับรู้โผฏฐัพพารมณ์ที่ดี

ซึ่ง กายวิญญาณจิต จะต้องมีรูปเป็นอารมณ์ เป็นการรู้กระทบสัมผัส รูป ที่เป็น ธาตุดิน ไฟ ลม ที่เป็น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ซึ่ง ธาตุดิน ไฟ และลม สามารถเกิดได้ทั้งสมุฏฐาน ๔ เกิดจากกรรม จิต อุตุและอาหาร ก็ได้

ผู้ถามได้ถามถึง ทุกขกายวิญญาณจิต ซึ่เป็นจิตที่รู้กระทบสัมผัสที่ไม่ดี คือ รูปที่ไม่ดี ทำให้รู้กระทบสัมผัสที่ไม่ดี เป็นต้น ซึ่ง ทุกขกายวิญญาณจิต ๒ ดวง สามารถมีรูปเป็นอารมณ์ที่เกิด ทั้ง ๔ สมุฏฐานได้ แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นรูปที่เกิดจากสมุฏฐานใด ไม่ได้ทำให้ ทุกขกายวิญญาณแตกต่างกัน เพราะ รูปที่แตกต่างกันตามสมุฏฐาน ความหมาย คือ รูปที่แตกต่างตามสมุฏฐานที่แตกต่างกัน ไม่ได้เป็นปัจจัยให้ ทุกขกายวิญญาณ แตกต่างกัน แต่สำคัญที่สุด คือ เพราะกรรมที่ให้ผลในอดีตเป็นปัจจัย ทำให้ ทุกขกายวิญญาณจิต แตกต่างกัน ครับ หากกรรมไม่ดี มีอกุศลกรรมมีกำลัง เช่น กรรมที่ทำให้เกิดในนรก ทุกขกายวิญญาณจิตที่เกิด เพราะอกุศลกรรมมีกำลังเป็นปัจจัย ก็ทำให้ทุกขกายวิญญาณ มีกำลังมาก ทำให้ได้รู้รูปที่ไม่ดี และได้รับความเจ็บปวดมาก แต่ถ้า เป็นอกุศลกรรมที่ไม่มีกำลังมาก ทุกขกายวิญญาณ ก็ไม่มีกำลังมาก ครับ ไม่ต้องเจ็บปวด หรือ รู้กระทบสัมผัสไม่ดีมาก อันเกิดจากความแตกต่างของอกุศลกรรมที่ให้ผลแตกต่างกันไป ส่วนเวทนาเจตสิกที่เกิดขึ้น กับทุกขกายวิญญาณ ไม่ว่าจะรู้รูปไหนก็ตาม ทุกขกายวิญญาณทุกประเภทจะต้องมีทุกขเวทนา เสมอ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และมีจริงในขณะนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องอะไร ก็ไม่พ้นไปจากธรรมะเลย แม้แต่ที่กล่าวถึงทุกขกายวิญญาณ ก็เป็นธรรมที่มีจริง เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เป็นผลของอกุศลกรรมทำให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ตามควรแก่อกุศลกรรม เวทนาที่เกิดร่วมกับจิตประเภทนี้ คือ ทุกขเวทนาทางกายเท่านั้น ไม่ใช่เวทนาอื่น

กายวิญญาณ เป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นสุขกายวิญญาณทำให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายที่ดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เป็นทุกขกายวิญญาณ ทำให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายที่ไม่ดี โดยไม่ปะปนกัน เนื่องจากเป็นผลของกรรมที่แตกต่างกัน โดยไม่มีใครทำให้เลย เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ และประการที่สำคัญกายวิญญาณ จะไปรู้อารมณ์อย่างอื่นไม่ได้ จะไปรู้สี ก็ไม่ได้ จะไปรู้เสียง ก็ไม่ได้ ต้องรู้อารมณ์ของตนๆ เท่านั้น คือ รู้โผฏฐัพพารมณ์ เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อได้รับทุกข์ทางกายแล้ว สภาพจิตที่เกิดต่อนั้น เป็นอกุศลจิตประเภทที่เป็นโทสมูลจิต ซึ่งเวทนาที่เกิดร่วมกับโทสมูลจิต มีเพียงเวทนาเดียวเท่านั้น คือ โทมนัสเวทนา อันเป็นเวทนาที่ทำให้เกิดความไม่สบายแก่จิต ขณะที่เกิดความไม่ชอบ ไม่พอใจ แม้จะเล็กน้อย ก็เป็นโทสมูลจิต ที่มีโทมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย เสมอ ซึ่งไม่ใช่ในขณะที่เป็นทุกข์ทางกาย ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า เป็นธรรมะที่มีจริง ทุกขเวทนาที่เกิดทางกาย ก็เป็นธรรมะที่มีจริง ความไม่สบายใจ อันเป็นโทมนัสเวทนา ก็เป็นธรรมะที่มีจริง ไม่ใช่เรา การที่จะเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงได้ ก็ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 22 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 22 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วิริยะ
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Thanapolb
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 25 มี.ค. 2555

รูปไม่ใช่วิบาก รูปไม่ใช่ธาตุรู้ รูปไม่รู้อะไร รูปไม่สุข ไม่ทุกข์ ทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ที่ดี หรือไม่ดี เป็นผลของกรรม ส่วนทุกข์ใจ ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นกิเลสของเราเอง ผู้ที่ไม่มีทุกข์ทางใจ คือ พระอรหันต์ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ