เรียนถาม

 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่  22 มี.ค. 2555
หมายเลข  20846
อ่าน  1,049

กราบเท้าอาจารย์ทุกท่านที่เคารพอย่างสูง

กราบรบกวนสอบถามแทน น้องบัว ครับ

๑. รู้ได้อย่างไรว่า รูป ๑ รูป มีอายุเท่ากับจิต เกิดดับ ๑๗ ขณะ

พระพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งสิ่งนี้ แล้วพระอรหันต์ที่ฟังธรรมภายหลัง ก็ประจักษ์โดยสติและ เห็นจิตที่เกิดดับเร็วๆ อย่างนี้ด้วย ตลอดเวลา ตลอดวัน ทั้ง ๑๗ ขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับเลยหรือคะ (การเจริญสติต้องรู้ทั่ว รู้ตลอด หมายถึงอย่างนี้หรือเปล่าคะ ถึงจะละกิเลสเป็นพระอรหันต์นะคะ)

๒. การที่เราจะรู้สภาพธรรมทุกอย่างที่มากระทบทางทวาร ๕+๑ ตลอดเวลาด้วยสติ ดังนั้นเราก็ต้องศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด ทุกตัวอักษร เพื่อให้รู้ และเข้าใจ ทั้งหมดเลยใช่ไหมคะ ดูเป็นการยากมาก หรือเพียงแค่เราทำสิ่งดีๆ ให้มาก แล้ว รู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม อะไรเกิด อะไรดับ คะ

๓. พระอรหันต์ กับ พระพุทธเจ้า ต่างกันที่การตรัสรู้ ส่วนพระอรหันต์รู้ตามพระองค์ รู้เท่ากับพระองค์เลยหรือไม่คะ เช่น รู้อดีต อนาคต หรือมี ญาณ อะไรประมาณนี้นะคะ (คุณลักษณะ และ คุณสมบัติ นะคะ)

๔. การจะไม่เกิดอีก ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ เพราะคุณลักษณะของพระอรหันต์คือดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แล้วเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้จะไปถึงจุดนั้น เพราะกังวลมากค่ะ ดูแล้วกลัวและท้อมาก เนื่องจากพระไตรปิฎกมีข้อความมากมาย แค่อ่านยังไม่ต้องถึงกับเข้าใจ ชาตินี้ก็ไม่จบแล้วค่ะ

ขอแสดงความนับถืออาจารย์ทุกท่านอย่างสูง และ กราบขอบพระคุณครับ

ขอโอกาสในการเจริญกุศลจงมีแก่อาจารย์ มากๆ นะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. รู้ได้อย่างไรว่า รูป ๑ รูป มีอายุเท่ากับจิต เกิดดับ ๑๗ ขณะ

พระพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งสิ่งนี้ แล้วพระอรหันต์ที่ฟังธรรมภายหลัง ก็ประจักษ์โดยสติ และเห็นจิตที่เกิดดับเร็วๆ อย่างนี้ด้วยตลอดเวลา ตลอดวัน ทั้ง ๑๗ ขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับเลยหรือคะ (การเจริญสติต้องรู้ทั่ว รู้ตลอด หมายถึงอย่างนี้หรือเปล่าคะ ถึงจะละกิเลสเป็นพระอรหันต์นะคะ)


- พระพุทธเจ้าทรงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง แม้แต่การเกิดขึ้นของนามธรรมและรูปธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูป ก็ทรงรู้ความจริงว่า รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะจิต ซึ่งพระอริยสาวกที่เป็นพระอรหันต์ ท่านก็มีปัญญาแตกต่างกันไป แต่ท่านทั้งหมด ล้วนจะต้องประจักษ์เห็นการเกิดดับของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป อันแสดงถึงความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา แต่การจะประจักษ์ ความเกิดดับของจิต เจตสิกและรูปอย่างละเอียดลึกซึ้งลงไปอีก ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกรูป แล้วแต่ว่าผู้ใดสะสมปัญามามาก มีท่านพระสารีบุตร เป็นต้น ท่านก็รู้ความจริงแม้อายุของรูปและนามแต่ละขณะอย่างละเอียด ตั้งแต่ตื่น จนหลับ ได้ครับ แต่พระอรหันต์บางองค์ก็ไม่รู้ถึงขนาดนั้นครับ แต่ทุกรูปจะต้องประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรม รูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทุกรูป จึงจะเป็นพระอรหันตได้ ครับ


๒. การที่เราจะรู้สภาพธรรมทุกอย่างที่มากระทบทางทวาร ๕+๑ ตลอดเวลาด้วยสติ ดังนั้นเราก็ต้องศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด ทุกตัวอักษร เพื่อให้รู้ และ เข้าใจ ทั้งหมดเลยใช่ไหมคะ ดูเป็นการยากมาก หรือ เพียงแค่เราทำสิ่งดีๆ ให้มาก แล้ว รู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม อะไรเกิด อะไรดับ คะ


- พระไตรปิฎกทั้งหมดเป็พระปัญญาของพระพุทธเจ้า ดังนั้น การศึกษาธรรมจึงไม่ใช่ให้รู้ทั่วทั้งหมดดังเช่นพระพุทธเจ้า เพราะพระไตรปิฎกที่มีมาก ก็เพราะสัตว์โลกสะสมอุปนิสัยมาแตกต่างกัน ทำให้พระธรรมมีมาก เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละคน เพราะบางบทในพระธรรมก็ไม่เหมาะกับอัธยาศัยของสัตว์โลกบางคน แต่เหมาะกับบางคน แต่มีธรรมที่สัตว์โลกที่จะบรรลุต้องดำเนินตามทางนี้เสมอ ที่เป็น มรรค เป็นทางสายกลาง นั่นคือ สติปัฏฐาน ๔ หรือ อริยมรรคที่เป็นหนทางในการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา อันเป็นการรู้ธรรมะที่มีในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การจะบรรลุ ไม่ใช่เป็นการจำเรื่องราวพระไตรปิฎกมาก ให้ครบทุกส่วน แต่เข้าใจความจริงว่า พระไตรปิฎกแสดงถึงความจริงที่มีอยู่ ศึกษาส่วนใด ก็เพื่อเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลและปัญญา และทำให้รู้ความจริงในขณะนี้ เพราะ ทุกคำของพระไตรปิฎก แสดงถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ นั่นเองครับ

ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด แต่ศึกษาส่วนใดก็ให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ


๓. พระอรหันต์ กับ พระพุทธเจ้า ต่างกันที่การตรัสรู้ ส่วนพระอรหันต์รู้ตามพระองค์ รู้เท่ากับพระองค์เลยหรือไม่คะ เช่น รู้อดีต อนาคต หรือมี ญาณ อะไรประมาณนี้นะคะ (คุณลักษณะ และ คุณสมบัติ นะคะ)


- พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง และทรงรู้หนทางดับทุกข์ด้วยพระองค์เอง พร้อมกับปัญญาอย่างอื่นครบถ้วน ที่พระสาวกทั้งหลายไม่มี แต่พระสาวกก็มีญาณ คือ ปัญญา แต่ระดับหนึ่ง รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้เท่าพระพุทธเจ้าครับ


๔. การจะไม่เกิดอีก ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ เพราะคุณลักษณะของพระอรหันต์คือดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แล้วเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้จะไปถึงจุดนั้น เพราะกังวลมากค่ะ ดูแล้วกลัวและท้อมาก เนื่องจากพระไตรปิฎกมีข้อความมากมาย แค่อ่าน ยังไม่ต้องถึงกับเข้าใจ ชาตินี้ก็ไม่จบแล้วค่ะ


- หากได้อ่านประวัติพระสาวกก ว่าจะได้บรรลุธรรม รวมทั้งพระพุทธองค์ ท่านอบรมปัญญาไม่ใช่เพียงร้อยชาติ แสนชาติ ล้านๆ ชาติ แต่อบรมปัญญาด้วยใช้ระยะเวลาหาประมาณไม่ได้ นับชาติไม่ได้ เพราะสะสมกิเลสมาก ปัญญามาน้อย จึงจะต้องค่อยๆ ใช้เวลาอบรมไป พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านก็ต้องเริ่มจากความไม่รู้อย่างเรามาก่อน และก็ค่อยๆ รู้ขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดก็รู้มากและบรรลุได้ แต่กว่าจะถึงจุดนั้น นับชาติไม่ได้เลย ครับ ดังนั้นเราเพิ่มเริ่มฟัง เริ่มอบรมปัญญา จะให้รู้มากทันที คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาศัยกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา ที่คอยแนะนำ หากอ่านพระไตรปิฎกยาก ก็ควรอาศัยการฟังพระธรรม จากผู้มีปัญญาที่เข้าใจธรรมที่แสดงตามพระไตรปิฎก มีท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นต้น ก็จะทำให้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น แต่ทีละน้อย แต่ถูกต้อง ครับ จึงไม่ต้องกังวล หากเริ่มจากเหตุที่ถูกครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง และทรงแสดงให้พุทธบริษัทเข้าใจตามความเป็นจริงด้วย สภาพธรรมเป็นจริงอย่างไร บุคคลก็สามารถรู้แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมอย่างนั้น โดยไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด แต่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมของพระอริยสาวกนั้น เป็นการตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะสามารถมีปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับได้ และที่สำคัญ ปัญญาจะเจริญขึ้นในทันทีทันใดไม่ได้ ต้องอาศัยการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แม้แต่พระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ท่านก็ต้องอาศัยการสะสมบารมี สะสมการฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้วทั้งนั้น พระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย การถึงความเป็น พระอรหันต์ ตลอดจนถึงพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น เป็นได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ถึงด้วยความหวัง ด้วยความต้องการ แต่เป็นการค่อยๆ สะสมปัญญาไปตามลำดับจริงๆ จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ บริบูรณ์ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jesse
วันที่ 24 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณและขอร่วมอนุโมทนาด้วยนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 24 มี.ค. 2555

กว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ต้องสะสมความดีทุกอย่าง สะสมบารมี ๑๐ สะสมการฟังธรรม สะสมความเข้าใจธรรมะ สะสมปัญญามาก นับชาติไม่ถ้วน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 26 มี.ค. 2555

* * * ------------------- * * *

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

* * * ----------------------------------- * * *

กราบขอบคุณอย่างสูงครับ และ ขออนุโมทนากุศลธรรมที่เกิดมีทุกท่านครับ

* * * * * --------------------------------------------------- * * * *

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chaweewanksyt
วันที่ 6 เม.ย. 2555

สาธุ

สาธุ

สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ